ปฏิทิน 2555

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

blognone: จดหมายเปิดผนึกถึงกสทช. เรื่องข้อเสนอสิทธิแห่งผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม

blognone: จดหมายเปิดผนึกถึงกสทช. เรื่องข้อเสนอสิทธิแห่งผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม

note: วันนี้ผมมาร่วมงาน NBTC Public Forum ที่รับฟังความคาดหวังของภาคประชาสังคมต่อกสทช. ผมและ mk จึงร่างจดหมายเพื่อแสดงความคาดหวังของเราในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อแสดงต่อกสทช. ในงานนี้ครับ
ถึง กสทช. ทุกท่าน
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา บริการโทรคมนาคมมีความสำคัญต่อชีวิตประชาชนขึ้นอย่างมาก คนจำนวนมากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีโทรคมนาคม คนจำนวนมากมีชีวิตโดยต้องพึ่งพิงโทรคมนาคมเพื่อการดำรงค์ชีวิต ทั้งการอาชีพและการปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคมตามอัตภาพ
เป็นเรื่องน่ายินดีที่พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้กำหนดให้จัดตั้งสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) โดยที่ผ่านมาหน่วยงานแห่งนี้ก็ได้มีบทบาทในการเรียกร้องสิทธิผู้บริโภคในประเด็นต่างๆ เรื่อยมา
แต่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมในช่วงหลัง โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมของไทยเป็นวงกว้าง แม้สบท. และกสทช. จะออกมาแถลงการเตือนผู้บริโภคต่อเหตุการณ์เหล่านั้น แต่กลับไม่ได้ออกแสดงถึงเจตน์จำนงค์ที่จะยืนยันสิทธิแห่งผู้บริโภค การออกแถลงการณ์เตือนให้ผู้บริโภคต้องระวังตัวเองนั้นแม้จะช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้บริโภคแต่ในทางหนึ่งกลับเป็นการยอมรับให้ผู้บริโภคถูกกระทำ
ทีมงาน Blognone ขอเสนอสิทธิแห่งผู้บริโภค ที่หน่วยงานต่างๆ ทั้งกสทช. และสบท. ควรต้องยืนยันสิทธิเหล่านี้ให้กับผู้บริโภคทุกคน และเรียกร้องให้มีการสร้างกฏเกณฑ์เพื่อบังคับใช้ในการคุ้มครองสิทธิเหล่านี้ให้กับผู้บริโภคทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ผู้บริโภคพึงสามารถใช้งานตามปรกติสุขได้โดยไม่ต้องมีกังวล: กรณีคดีอากง SMS เป็นคดีที่สร้างความกังวลต่อผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก การเตือนให้ผู้บริโภคพกเครื่องไม่ห่างตัวไม่ใช่การใช้งานอย่างเป็นปรกติสุขโดยทั่วไป หากการใช้งานโดยทั่วไปมีความเป็นไปได้ที่การกระทำจากตัวเครื่อง กระบวนการคุ้มครองผู้บริโภคต้องให้ความคุ้มครอง และเรียกร้องต่อสิทธิการใช้งานอย่างเป็นปรกติต่อไปโดยไม่มีความเสี่ยงใดๆ
ผู้บริโภคมีสิทธิกำหนดขอบเขตการรับผิดชอบค่าใช้จ่าย: ปัญหาค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่ผู้บริโภคคาดคิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากในประเทศ หรือการใช้งานจากต่างประเทศ สร้างปัญหาและเรื่องร้องเรียนอย่างต่อเนื่องตามประวัติของสบท. และในอนาคตก็คาดว่าจะมีปัญหาในรูปแบบอื่นๆ ในแนวทางเดียวกันอีก จากความซับซ้อนของระบบการคิดค่าบริการของบริการโทรคมนาคม ผู้บริโภคควรมีสิทธิกำหนดขอบเขตการรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง เช่นหากผู้บริโภคกำหนดความรับผิดชอบไว้ที่ 15,000 บาท เป็นหนัาที่ของผู้ให้บริการ ที่จะต้องไม่ปล่อยให้มีการใช้งานเกินกว่า 15,000 บาท โดยที่ผู้บริโภคยังไม่ได้รับแจ้งและมีการยินยอมเพิ่มขอบเขตความรับผิดชอบนี้ หากผู้ให้บริการให้บริการเกินกว่าขอบเขต ต้องถือเป็นความผิดของผู้ให้บริการและผู้บริโภคไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนเกิน
ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะรับรู้เงื่อนไขและข้อจำกัดอย่างชัดเจน: เงื่อนไขของการใช้งานบริการต่างๆ ทางโทรคมนาคมนั้นมักมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนหลากหลาย หลายครั้งผู้ให้บริการเลือกที่จะนำข้อดีของบริการในเงื่อนไขหนึ่งๆ มาโฆษณาร่วมกับข้อดีในเงื่อนไขอื่นๆ ผู้บริโภคควรได้รับข้อมูลอย่างถูกต้อง และต้องมีการคุ้มครองให้ข้อความในโฆษณานั้นอยู่ภายในเงื่อนไขเดียวกัน เช่นโฆษณา "อินเทอร์เน็ตความเร็ว 7.2Mbps ไม่จำกัด" ที่จริงแล้วกลับเป็น "อินเทอร์เน็ตความเร็ว 7.2Mbps ในปริมาณ 5GB แรก และความเร็ว 512kbps ไม่จำกัด" หากการโฆษณาจำเป็นต้องรวบรัดเพื่อให้เหมาะกับพื้นที่โฆษณา ผู้บริโภคควรได้รับความคุ้มครองที่จะเห็นโฆษณาในเงื่อนไขเดียวกันเช่น "อินเทอร์เน็ต 7.2Mbps ปริมาณ 5GB" หรือ "อินเทอร์เน็ตไม่จำกัด 512kbps" โดยข้อความทั้งหมดต้องเด่นชัดในระดับเดียวกัน
ผู้บริโภคต้องได้รับความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: บริการต่างๆ ทางด้านโทรคมนาคมนั้น เป็นผู้ให้บริการที่รับผิดชอบต่อข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ทั้งข้อมูลทั่วไปเข่น ข้อมูลที่อยู่อาศัย หมายเลขโทรศัพท์ ตลอดจนถึงข้อมูลการสื่อสารระหว่างกัน กสทช. ต้องให้ความคุ้มครองผู้บริโภคที่จะไม่ถูกนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้งานอย่างไม่เป็นธรรม เช่นการส่งต่อข้อมูลไปยังบริษัทในเครือหรือคู่ค้าเพื่อใช้ส่งโฆษณา จนถึงการส่งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง
ผู้บริโภคมีสิทธิในการเลือกประเภทบริการที่ต้องการใช้งาน: บริการโทรคมนาคมหลายประเภทในตอนนี้มักผูกติดกันหลายต่อหลายประเภทบริการ เช่นบริการเสียงเพลงรอสายที่ผูกมากับบริการโทรศัพท์, หรือบริการอินเทอร์เน็ต ขณะที่มันอำนวยความสะดวกให้คนจำนวนมากเข้าถึงบริการต่างๆ ได้โดยง่าย ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งกลับไม่ได้ใช้บริการเหล่านั้น และไม่ต้องการให้บริการเหล่านั้นมารบกวนการทำงานประจำวัน ผู้บริโภคพึงสิทธิในการตัดบริการใดๆ ออกจากการรับบริการ เช่น บริการโทรศัพท์, บริการ SMS, บริการข่าวสาร, บริการโทรระยะไกล, หรือบริการอื่นๆ ผู้บริโภคทุกคนพึงมีสิทธิในการเลือกรับหรือไม่รับบริการเหล่านี้ตามความต้องการของตนเอง เช่น ผู้ใช้บางรายที่ต้องการใช้งานเฉพาะการโทรศัพท์ พึงมีสิทธิที่จะตัดบริการอื่นออกทั้งหมดเพื่อไม่ให้มีความกังวลกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ทีมงาน Blognone เชื่อว่าการคุ้มครองผู้บริโภคในสิทธิที่เสนอมาเหล่านี้จะทำให้ปัญหาร้องเรียนต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกสทช. และสบท. น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว จากการคุ้มครองสิทธิอย่างสมเหตุผลให้กับผู้บริโภคก่อนที่จะเกิดกรณีพิพาทระหว่างผู้บริโภคกับผู้ให้บริการ ผู้บริโภคจะสามารถมั่นใจที่จะใช้บริการต่างๆ และสามารถวางใจที่จะใช้บริการโทรคมนาคมได้สืบไป
เราหวังว่า กสทช., สบท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ จะรับพิจารณาข้อเสนอนี้ และมีการดำเนินการให้ออกมาเป็นข้อบังคับในส่วนที่อยู่ในอำนาจกสทช. และข้อเรียกร้องหรือการดำเนินการอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือไปจากอำนาจของกสทช. เพื่อให้มีผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองตามที่สมควรได้รับต่อไป
วสันต์ ลิ่วลมไพศาล
อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์

ผู้ดูแลเว็บไซต์ Blognone.com

มุกหอม วงษ์เทศ: ความยุติธรรมอยู่ที่อื่น

มุกหอม วงษ์เทศ: ความยุติธรรมอยู่ที่อื่น



น่าเสียดายที่รัฐธรรมนูญไทยมิได้ใส่บทบัญญัติตามที่หลวงวิจิตรวาทการเคยเสนอไว้อย่างน่ายกย่องในความสุขุมคัมภีรภาพว่า “สยามจะต้องมีพระมหากษัตริย์ทรงราชย์และปกครองชั่วนิรันดร ถ้ามีข้อความดั่งนี้จะเป็นประโยชน์ในการรักษาจารีตประเพณีของเราอันหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยก็จะเป็นบทบังคับว่าเราจะเป็นรีปับลิกไม่ได้” เพราะหากประกาศอย่างชัดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรดังนี้แล้วก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาซักถามแบบเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตามสนามบินที่เข้มงวดว่า เอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า
โชคดีที่ประเทศ “มุขปาฐะ” อย่างเราไม่ได้อยู่กันด้วย “ลายลักษณ์อักษร” ถึงไม่มีบทบัญญัติ เราก็ได้รับการอบรมบ่มเพาะกันมาอย่างดีโดยไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือออกด้วยซ้ำว่า ความเชื่องเป็นทั้งคุณธรรมและคู่มือการเอาชีวิตรอด
ในสังคมที่ “รีปับลิก” หรือระบอบใดๆ ก็ตามที่ไม่ใช่ระบอบที่ให้ประมุขของรัฐสืบทอดทางสายโลหิต เป็นรสนิยมหรือจุดยืนทางการเมืองในนรกที่สงวนไว้สำหรับคนที่พร้อมจะตายแบบไร้เมรุและไม่ขอเกิดใหม่ในประเทศเดิมแล้วเท่านั้น คำถามและหัวข้อที่ข้าพเจ้าคิดว่าน่าถกเถียงแบบมีอารยะกว่า “Monarchy or Anti-Monarchy?” ได้แก่
“Monarchy : Pride or Shame?”
“Thai ultra-royalists: the discreet charm of backwardness or how did they become the laughing-stock of the world.” 
“To be (พสก), or not to be (พสก): that is the question.”
“Is “ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป” a free choice or mass hysteria?”
“How to be Thai and a rational being at the same time.”
“Is religious extremism the underlying logic of Thailand’s ‘lese majeste’ law?”“How to talk about the Monarchy without วัฒนธรรมราชาศัพท์ and how to live with the Monarchy without วัฒนธรรมหมอบคลาน.”
“Which language convention is more dehumanizing: ‘แม่ง’ or ‘ทรง’?”
คดี “อากง” ทำให้นานาอารยะประเทศต้องหันมาจับจ้องประเทศไทยด้วยดวงตาลุกโพลงมากขึ้นสมกับที่ฝันใฝ่กันมานานที่จะอวด “ความเป็นไทยที่ทำให้โลกตะลึง” แม้จะจุดชนวนความสนใจอย่างกว้างขวาง แต่คดีอากงซึ่งกลายเป็นคดีตัวอย่างสมบูรณ์แบบของความเป็นเหยื่อบริสุทธิ์ต้องไม่ถูกใช้เพื่อจำกัดขอบเขตของประเด็นแค่ว่า จำต้องเป็นกรณีที่จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “ ไม่ได้ทำอะไรเลย” เท่านั้น จึงสมควรแก่เหตุที่จะปฏิรูปกฎหมายหมิ่นฯ มิฉะนั้น “ใครก็ได้” ก็อาจตกเป็นเหยื่อโดยการฟ้องของ “ใครก็ได้” เมื่อใดก็ได้ โดยมีพยานหลักฐานชี้ชัดหรือไม่ก็ได้
โดยมาตรฐานความยุติธรรมสากลแล้ว ต่อให้จำเลยเป็นผู้ส่งข้อความจริง (ซึ่งถูกห้ามไม่ให้เผยแพร่ราวกับเป็นข้อความที่มีเวทมนต์) ก็ต้องไม่ใช่ความผิดโดยอัตโนมัติ และต่อให้มีการกระทำการ “ดูหมิ่น” หรือ “หมิ่นประมาท” จริง ก็ไม่อาจถูกดำเนินคดีและลงโทษตามมาตรฐานไทยอย่างที่เป็นอยู่ได้
สำหรับประเทศที่มีระดับความเจริญทั้งทางวัตถุและจิตใจสูงกว่าไทย (โดยไม่ได้ต้องสมาทานพุทธศาสนา) พวกเขาทั้งหลายต่างตะลึงพรึงเพริดกันว่า ประเทศที่ลงทัณฑ์คนคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความส่วนตัวไปถึงคนอีกคนหนึ่งด้วยการจำคุกยี่สิบปีนั้นมันเป็นประเทศชนิดใดกัน? ประเทศเยี่ยงนี้ไม่ใช่ประเทศเสรีประชาธิปไตย ประเทศเยี่ยงนี้เป็นประเทศป่าเถื่อนไม่ศิวิไลซ์ ประเทศเยี่ยงนี้ไม่ใช่ประเทศที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม (เลิกหน้าด้านอ้าง เลิกหลอกทั้งตัวเองและนานาชาติเสียทีเถอะ)
“ประเทศเหี้ยอะไรวะ!”
ด้วยความเคารพและด้วยความสุจริตใจ ในประเทศแบบคำกึ่งอุทานกึ่งจำกัดความข้างต้น การวิจารณ์เรื่องบางเรื่องโดยไม่ดูหมิ่นในทางใดทางหนึ่งแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เหตุอันควรยกเว้นความผิดจึงอาจจะคือ ดูหมิ่นโดยสุภาพและมีหลักวิชา ดูหมิ่นเพราะเหลืออดต่อความอยุติธรรม ดูหมิ่นเพราะสุดทนกับความต่ำช้าสามานย์ ดูหมิ่นเพราะตื่นตระหนกกับความตลบแตลง ดูหมิ่นเพราะรำคาญความงี่เง่าปัญญาอ่อน หรือดูหมิ่นเพราะมันเป็นความจริง
แต่ในเมื่อทุกวันนี้ทุกฝ่ายต่างดูหมิ่นกันและกันเป็นนิจสินอย่างมิอาจรอมชอมกันได้ แถมยังใช้โวหารอ้างมโนทัศน์เดียวกันอย่างสุดมหัศจรรย์ การใคร่ครวญความชอบธรรมและบริบทของการดูหมิ่นด้วยเหตุด้วยผล หรือพินิจพิจารณาว่าดูหมิ่นจากฐานคิดอะไรและด้วยวิธีการแสดงออกอย่างไรจึงอาจจะดีกว่า และช่วยในการตีความและชั่งน้ำหนักว่า แบบใดสมควรแก่เหตุ แบบใดต่ำทรามถ่อยสถุล หรือแบบใดยากจะชี้ชัดและต้องโต้แย้งไม่มีที่สิ้นสุด
คำดูหมิ่นและหมิ่นประมาทประเทศข้างต้นนั้นความจริงแล้วสบถกันในประเทศนี้ได้ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที หรือถ้าจะทำให้เป็นกิจวัตร ไม่ฟุ่มเฟือยจนเสียสุขภาพจิต จะเจ็ดแปดโมงเช้าที ห้าหกโมงเย็นที ทุ่มสองทุ่มอีกที ก็กำลังดี
“เหี้ย-ระยำ-บัดซบ” คำทำนองนี้อาจเป็นคำหยาบคาย เป็นคำระบายความโกรธแค้นและอัดอั้นตันใจ หรือเป็นเพียงอาวุธอันอ่อนปวกเปียกของผู้อ่อนแอที่กำลังถูกเหยียบขยี้ด้วยจารีต ด้วยกฎหมาย และด้วยความบ้าคลั่งที่ยังตกต่ำไม่ถึงขีดสุด


112
ผลสะเทือนของความเคลื่อนไหวเรื่องมาตรา 112 ทำให้เหล่ารอยัลลิสต์ชั้นนำที่ไม่ใช่กลุ่มล่าแม่มดกระหายเลือดหรือสื่ออัปรีย์ออกอาการได้สติบ้าง ไม่ได้สติต่อไปบ้าง กรณีที่จนถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ได้สติก็เป็นเรื่องน่าสลดใจ ส่วนกรณีที่ได้สติ สติที่ได้ก็อยู่ภายใต้เพดานของความเป็นรอยัลลิสต์ไทย คือเป็นสติที่ไม่สมประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง เสแสร้งตบตา หรือหลอกตัวเอง สติที่ไม่สมประกอบนั้นก็คือการยอมรับเฉพาะประเด็นว่าสถาบันกษัตริย์ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แม้ประเด็นที่ถูกอ้างซ้ำๆ จนฟกช้ำนี้จะจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การยก “เฉพาะ” ประเด็นนี้ประเด็นเดียวกลับคือการใช้ประเด็น “สถาบันฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง” เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ในการแสดงทัศนะของตนเองเพื่อสร้างความไขว้เขวแก่สาธารณชนว่านี่เป็นจุด “เดียว” ของประเด็นปัญหาสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งเป็นการดึงปัญหาออกนอกพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
แน่นอนว่าการรณรงค์การปฏิรูปหรือยกเลิก 112 ก็เป็นการเมืองเช่นกัน แต่เป็นการเมืองของการเรียกร้องให้เปิดพื้นที่เพื่อการถกเถียงปัญหาที่แท้จริงกันอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม ไม่ใช่การเมืองของการเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาเพื่อที่จะโฟกัสไปที่จุดเดียว และปกปิดจุดอื่นๆ ที่เป็นปัญหาใหญ่กว่าต่อไป ปัญหาใหญ่ที่ถูกกลบเกลื่อนคือความจริงที่ว่าสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ถูกใช้ทางการเมืองฝ่ายเดียว และการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์และอุตสาหกรรมวัฒนธรรมโฆษณาชวนเชื่อดังที่เป็นอยู่มีความไม่ถูกต้องตามหลักการแห่งระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและหลักเสรีประชาธิปไตยอยู่อย่างมากล้น
ไม่น่าแปลกใจที่ฝ่ายนิยมเจ้าระดับอีลีตจะยอมรับว่า 112 มีปัญหา แม้จะสร้างความหวังถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นและดูน่าเลื่อมใสกว่าพวกนักเทศน์ไม่ลืมหูลืมตาและพวกอันธพาลที่เชื่อว่าการไล่คนออกนอกประเทศเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ แต่การยอมรับนี้ก็เป็นยุทธศาสตร์ช่วงชิงการกำหนดเนื้อหาและทิศทางเพื่อการแก้ไขปรับเปลี่ยนให้น้อยที่สุดและรักษาอุดมการณ์ สถานะ อำนาจ บารมีเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด แล้วจึงยกเป็นข้ออ้างว่าได้ “ปรับปรุง” ให้เหมาะสมดีงามทุกประการแล้ว พวกเรียกร้องเสรีภาพจงหุบปากแล้วกลับบ้านไปสำนึกในบุญคุณที่ได้รับเสรีภาพปริมาณเท่าเดิมแต่ติดคุกน้อยลง     
แต่ถ้าฝ่ายรอยัลลิสต์จะมีความซื่อสัตย์ต่อความเชื่อตนเอง ก็ควรยอมรับอย่างตรงไปตรงมาและไม่กะล่อนว่า พวกเขาต้องการให้สถาบันกษัตริย์มีอำนาจ “ล้นเกิน” แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ถูกตรวจสอบ ไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ต้องรับผิด และไม่ถูกจำกัดอำนาจด้วยกฎเกณฑ์ข้อบังคับของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญตามครรลองประชาธิปไตย การยอมรับง่ายๆ เช่นนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้โดยสะดวกและปลอดภัย เพราะจะไม่ถูกกระบวนการยุติธรรมมาตอแยเพื่อจัดสรรปันส่วนความอยุติธรรมให้
ในบรรดาข้อโต้แย้งต่างๆ ของฝ่ายนิยมเจ้าที่ต้องการจะบอกเพียงแค่ว่าทุกอย่างที่เป็นอยู่นั้น “ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว” พวกไม่เข้าใจประเพณีวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้งอย่ามาสะเออะ ไม่มีอะไรจะน่าทึ่งไปกว่าการอ้างหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม หลักความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน ศีลธรรม คุณธรรม มนุษยธรรม ผสมปนเปกับความเป็นไทยอันมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ประวัติศาสตร์ไทยอันเก่าแก่โบราณ ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทยอันล้ำเลิศประเสริฐศรี เมื่อฟังหรืออ่านจนหายเคลิ้มแล้ว อรรถาธิบายอันไพเราะเพราะพริ้งเหล่านี้กลับทำให้อีกฝ่ายหมดกำลังใจจะโต้เถียง อับจนถ้อยคำจะชี้แจง และได้แต่แจ้งให้ทราบเพื่อพิจารณาว่า ความวิกลจริตเชิงตรรกะหรือการงดเว้น (โดยรู้หรือไม่รู้ตัว) การใช้หลักเหตุผลในเรื่องที่เกี่ยวกับกษัตริย์ในฐานะบุคคลและสถาบันเป็นลักษณะเด่นของวัฒนธรรมการเมืองของฝ่ายกษัตริย์นิยมไทยในปัจจุบันโดยแท้
กฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ได้มีสถานะเป็นเพียงกฎหมายอาญามาตราหนึ่ง แต่กำลังยึดครองสถานะเป็นป้อมปราการแห่งชาติและศาสตราวุธแห่งจารีตประเพณีที่ต้องปกปักรักษายิ่งชีพ เมื่อโต้แย้งหักล้างกันด้วยเหตุผลไม่ได้ ฝ่ายนิยมเจ้าจะยกข้ออ้าง “จารีตประเพณี” (หรือ “อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว”) มาเป็นไม้ตายเพื่อยุติการถกเถียง แต่หากจะมองกันในแง่นี้จริงๆ การเลิกกฎหมายหมิ่นฯ ที่มีบทลงโทษรุนแรงที่สุดในโลกก็กลับจะคล้ายการเลิกทาส เลิกประเพณีหมอบคลาน เลิกการทรมานนักโทษ เลิกวิธีการลงโทษแบบโหดร้ายทารุณ และเลิกจารีตประเพณีที่ “ไม่ดีงาม” ต่างๆ
แม้จะเข้าใจได้ว่ายุทธศาสตร์ในการสื่อสารกับสังคมกระแสหลักต้องมุ่งไปที่เรื่องความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ว่าการกระทำแบบไหนเป็น “คุณ” หรือเป็น “โทษ” ต่อสถาบันฯ แต่โดยหลักการและจิตสำนึกที่ควรบ่มเพาะขึ้นใหม่นั้น ลำดับความสำคัญของเหตุผลในการรณรงค์ปฏิรูปหรือยกเลิกมาตรา 112 ไม่ควรเริ่มต้นด้วยขนบภาษาเดียวกันกับลูกเสือชาวบ้านหรือขนบภาษาเฉลิมพระเกียรติที่เชิดชูปกป้องสถาบัน (เอาเจ้าซึ่งในวัฒนธรรมไทยคือ “อภิมนุษย์” เป็นตัวตั้ง) เท่ากับการเชิดชูปกป้องสิทธิมนุษยชน (เอาประชาชนซึ่งในวัฒนธรรมสากลคือ “มนุษย์” เป็นตัวตั้ง ซึ่งย่อมรวมถึงเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์เช่นเดียวกันด้วย)
การอภิปรายและรณรงค์เรื่องใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ควรจะต้องแยกจากเรื่องความ “จงรักภักดี” กล่าวอีกอย่างว่าการถกเถียงอย่าง free และ fair (ซึ่งไม่เคยมี ยังไม่มี และอาจจะไม่มีวันมีในวัฒนธรรมไทย) และไม่ข่มขู่กรรโชกกันแบบด้อยพัฒนา ต้องไม่ยกประเด็นความจงรักภักดีมาสนับสนุน คัดง้าง ประจบประแจง หรือใส่ร้ายป้ายสี นั่นหมายถึงการต้องลดความชอบธรรมหรือถอดถอนมโนทัศน์และโวหาร “จงรักภักดี” ออกจาก public discourse ที่ยึดโยงกับความมั่นคงของชาติ, ความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์, ความเป็นไทย, ประชาธิปไตย, กฎหมาย ฯลฯ และนั่นแปลว่าเมืองไทยต้องอนุญาตให้มีทั้งคนที่ผลิตออกมาตรงตามสเป็คในโรงงาน และคนที่ผลิตออกมาไม่ตรงตามสเป็คในโรงงาน
หากระบอบการปกครองในปัจจุบันมิใช่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความไม่จงรักภักดีย่อมไม่ใช่อาชญากรรม และไม่ได้นำไปสู่การก่ออาชญากรรม ตรงกันข้าม คนที่จงรักภักดีอย่างท่วมท้นต่างหากที่มีแนวโน้มจะก่ออาชญากรรมและกระทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรมสูงกว่าหลายร้อยเท่า “ในนามของความจงรักภักดี” ตั้งแต่ยิงให้ตาย, ใช้เก้าอี้ฟาด, หัวเราะดีใจที่เห็นคนเยอะแยะถูกฆ่าหมู่, ส่งเสียงเชียร์หรือเข้าร่วมกลุ่มรณรงค์ให้กวาดล้างกำจัดคนเห็นต่างจากพวกตน, ตะเพิดคนออกจากประเทศ, แสดงความเกลียดชังและอาฆาตมาดร้ายตลอดเวลา, แต่งเรื่องโกหกให้ร้ายคนอื่น, พาดหัวข่าวด้วยข้อมูลเท็จ ด้วยความประสงค์ร้าย และด้วยสันดานสถุลเพื่อทำลายกันทางการเมือง, สอดส่องเป็นหูเป็นตาให้รัฐช่วยจับคนเข้าคุก, อยากให้ประหารชีวิตคนที่กระด้างกระเดื่องให้หมดแผ่นดิน ฯลฯ
ภายในห้องค่ายกลอำมหิตที่รอจังหวะคนก้าวพลาดเพื่อที่อาวุธนานาชนิดที่ซ่อนอยู่จะได้พุ่งเข้าเสียบเป้าหมายอย่างพร้อมเพรียง (คง)ไม่เคยมีใครประกาศว่าไม่จงรักภักดี ทั้งๆ ที่ความหมายของการไม่จงรักภักดีในทางการเมืองคือการมีจักรวาลทัศน์และจินตนาการเกี่ยวกับชาติคนละแบบกับผู้จงรักภักดีเท่านั้น ดังนั้นการไม่จงรักภักดีจึงไม่ควรถูกใส่ไคล้ให้เห็นเป็นภัยอันน่าสะพรึงกลัวที่จะทำร้ายประเทศชาติ ด้วยมาตรฐานเดียวกัน คนไม่จงรักภักดีก็ไม่มีสิทธิสร้างเรื่องโกหกหลอกลวงเพื่อทำลายคนอื่นทางการเมืองเช่นกัน
วัฒนธรรมการเมืองที่มีวุฒิภาวะต้องเลิกอ้าง เลิกกล่าวหา เลิกพาดพิง เลิกตอแหล เลิกเล่นลิ้นเรื่องความจงรักภักดีราวกับเป็นสังคมที่อยู่กันแบบ “ชนเผ่า”(แต่ล้าหลังและดัดจริตกว่าสังคมชนเผ่าจริงๆ) และถกเถียงอภิปราย “เนื้อหา” ของสิ่งที่เป็นประเด็นปัญหา ความจงรักภักดีต้องถูกจำกัดให้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของปัจเจกบุคคลที่ไม่ใช่ข้อบังคับในกฎหมายหรือข้อผูกมัดทางจารีตสังคม


เมื่อการฟ้องร้องกล่าวโทษและคำพิพากษาคืออาชญากรรม และเมื่อกฎหมายไม่ใช่กฎหมาย
ข้อสำคัญประเทศแต่ละประเทศย่อมมีความระแวดระวังในเรื่องที่ต่างกัน ถ้ามองในแง่มุมของอีกประเทศหนึ่งอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่คนที่เจริญแล้วเขาก็ต้องยอมรับนับถือประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ไปตัดสินจากความคุ้นเคยหรือความเคยชินของตนเอง...ที่สำคัญต้องไม่นำเอาความรู้สึกของประเทศอื่นมาเป็นมาตรฐาน เพราะแต่ละประเทศย่อมมีประเพณี วัฒนธรรม หรือความอ่อนไหวแตกต่างกันไป” (1)
มีชัย ฤชุพันธุ์, อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, 2011
“กฎหมายคือกฎหมาย ถ้าเราไม่ทำผิด เขาก็อยู่ในกระดาษเท่านั้นเอง ก็อย่าทำผิดก็เท่านั้น” (2)
สุเมธ ตันติเวชกุล, เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา, 2011
“ผู้พิพากษาไม่สามารถจะอำนวยการให้บังเกิดความยุติธรรมโดยการอ้างอิงบทบัญญัติทางกฎหมายที่ไม่เพียงอยุติธรรม แต่ยังมีความเป็น อาชญากรรม เราขอเรียกร้อง สิทธิมนุษยชน ซึ่งอยู่เหนือกว่ากฎหมายลายลักษณ์อักษรทั้งปวง และเราขอเรียกร้องกฎเก่าแก่อันไม่อาจพรากจากมนุษย์ที่ปฏิเสธมิให้คำสั่งที่เป็นอาชญากรรมของทรราชย์โหด มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย
ด้วยข้อควรพิจารณาเหล่านี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าบรรดาผู้พิพากษาที่ได้ให้คำวินิจฉัยที่ขัดแย้งกับหลักปฏิบัติต่อมนุษยชาติ...จักต้องถูกดำเนินคดี” (3)
J.U. Schroeder, Chief Public Prosecutor of Saxony, 1946


ข้อความแรกอยู่ในข้อเขียน “ปัญหาการแก้ไขมาตรา 112 ของกฎหมายอาญา” และหนึ่งในข้ออ้างใหญ่ที่ยกมา “คัดค้าน” การแตะต้องกฎหมายหมิ่นฯ คือ “ขนบธรรมเนียมประเพณี” เมื่อเหล่านักกฎหมายรอยัลลิสต์พากันไม่ถกเหตุผลประเด็นความชอบธรรมของกฎหมายและระบอบการปกครองตามหลัก “สากล” แต่หันไปยกเอาประเพณี วัฒนธรรม ความรู้สึก ความอ่อนไหว “ท้องถิ่น” มาเป็นตัวตัดสิน ก็ถึงจุดที่คนทั่วไปในสังคมที่ไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนกฎหมาย (เพราะเรียนแล้วก็เอาแต่อ้างจารีตประเพณี) ต้องอภิปรายกันว่าหลักใดจะสำคัญ ชอบธรรม เป็นธรรม และปลดปล่อยมนุษย์จากการกดขี่ขืนใจมากกว่ากัน และ “คนที่เจริญแล้ว” (ที่ไม่ใช่ในฐานะนักท่องเที่ยวที่เมื่อไปเที่ยวบ้านเมืองไหนก็ต้องเคารพให้เกียรติประเพณีวัฒนธรรมบ้านเมืองนั้น อันเป็นจรรยาบรรณพื้นฐานปกติของทัวริสต์ที่ศิวิไลซ์ รวมทั้งไม่อยากมีปัญหาระหว่างเที่ยว ต่อให้ไปเจอะกับประเพณีวัฒนธรรมที่พวกเขา “รับไม่ได้”) ยอมรับนับถือสิ่งใดมากกว่ากันแน่
คำให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ไม่ใช่นักกฎหมายแบบคนแรกอันถัดมาต่อคำถามเรื่องความเหมาะสมของการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 แสดงการยึดมั่นในกฎหมายของบ้านเมืองอย่างหนักแน่นดุจภูผาว่า “A law is a law.” เสมือนฝ่ายกุมอำนาจที่กอดหลัก Legalism ที่เน้นบทลงโทษรุนแรงเฉียบขาดโดยไม่ต้องแยแสเรื่องสิทธิเสรีภาพเพื่อให้ผู้อยู่ใต้การปกครองเชื่อฟัง ยำเกรงและเข็ดหลาบของ Han Fei นักนิติปรัชญาจีน หรือกอดคำขวัญของสำนัก Legal Positivism เวอร์ชั่นโบราณล้าสมัย ที่ไม่ต้องขยายความซับซ้อนต่อให้ยุ่งยากต่อการรีบเร่งรวบรัดใช้กฎหมายลงโทษคนทำผิด
คำประกาศลำดับสุดท้ายมีขึ้นเมื่อเกือบเจ็ดสิบปีมาแล้วที่ประเทศเยอรมนี แต่มันอาจเป็นคำกล่าวที่หาญกล้าและสง่างามเกินกว่าแม้แต่จะกระซิบกระซาบกันในแวดวงเนติตุลาการมหาดเล็กในบางประเทศ
ถึงแม้ว่าวงการกฎหมายไม่ว่าที่ไหนคงไม่ได้มีพัฒนาการบนการยั่วล้อท้าทายแบบประชดประชันอย่างประวัติศาสตร์และทฤษฎีศิลปะที่ทำให้เกิดคำถาม “But is it art?” แต่เราก็ควรยืมวิธีตั้งคำถามแบบเดียวกันนี้เพื่อแสดงความกังขาว่า “But is it law?” พร้อมทั้งพิจารณากรณีศึกษาในประเทศอื่นที่คำถามนี้กลายเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ต่อมโนธรรมสำนึกว่าด้วยความยุติธรรมในสังคม
หลังสงครามโลกครั้งที่สองและการล่มสลายของระบอบนาซี Gustav Radbruch นักนิติปรัชญาชาวเยอรมันอภิปรายถึงคดีหนึ่งซึ่งโยงกับคดีที่มีชื่อเสียงอีกคดีหนึ่งในสมัย Third Reich หรือยุคฮิตเลอร์-นาซีเรืองอำนาจในบทความเรื่อง “Statutory Lawlessness and Supra-Statutory Law”
เริ่มต้นเรื่องว่า นาย Puttfarken เจ้าหน้าที่ประจำ justice department ถูกดำเนินคดีและพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตโดยศาลอาญา Thuringian เนื่องจากในสมัยรัฐบาลนาซี Puttfarken ได้กล่าวฟ้องนาย Gottig ว่าเป็นผู้เขียนข้อความบนกำแพงห้องน้ำว่า “ฮิตเลอร์เป็นฆาตกรสังหารหมู่และต้องถูกประณามที่ทำให้เกิดสงคราม” อันมีผลทำให้ Gottig ถูกศาลนาซีพิพากษาลงโทษ ความผิดของ Gottig ไม่เพียงจาก “ข้อความ” ที่เขาเขียนบนกำแพง แต่ยังรวมทั้งการที่เขามักจะชอบแอบฟังวิทยุกระจายเสียงของต่างชาติด้วย (แทนที่จะฟังแต่วิทยุโฆษณาชวนเชื่อของนาซี) ประเด็นสำคัญที่หัวหน้าอัยการตั้งขึ้นมาก็คือ การกระทำของ Puttfarken (แจ้งความดำเนินคดีกับคนเขียนข้อความวิพากษ์วิจารณ์ฮิตเลอร์) เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่?
หัวหน้าอัยการอภิปรายเหตุผลว่า การที่จำเลยให้การอ้างว่าความเชื่อใน National Socialism (ซึ่งมิใช่เพียงความนิยมในพรรคการเมืองของฮิตเลอร์ แต่กินความถึงความศรัทธาในอุดมการณ์-โลกทัศน์-จุดหมายทางการเมืองแบบนาซี) ทำให้เขาแจ้งความดำเนินคดีนาย Gottig (ซึ่งเขียนข้อความต่อต้านและประณามท่านผู้นำ) นั้น เป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ว่าใครจะมีความคิดความเชื่อทางการเมืองอย่างไร ก็ไม่มีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายใดที่บังคับให้ใครคนนั้นไปแจ้งความดำเนินคดีผู้อื่น แม้แต่ในสมัยฮิตเลอร์เอง ก็ไม่มีพันธะผูกมัดทางกฎหมายเช่นนั้นดำรงอยู่ เช่นนั้นแล้ว บนสมมติฐานว่าระบบตุลาการพึงตั้งมั่นอยู่ที่การธำรงความยุติธรรม Puttfarken ได้กระทำการที่เป็นไปเพื่อความยุติธรรมหรือไม่?
ระบบตุลาการจำเป็นจะต้องมีความซื่อตรงต่อหลักการ มุ่งผดุงความเป็นธรรม และสร้างบรรทัดฐานของกฎหมาย แต่คุณลักษณะอันขาดไม่ได้ทั้งสามประการนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ปรากฎมีในระบบศาลที่ถูกการเมืองบงการแทรกแซงในสมัยของระบอบนาซี ใครก็ตามที่แจ้งความดำเนินคดีคนอื่นในสมัยฮิตเลอร์จำต้องรู้-และจริงๆ แล้วก็รู้อยู่แก่ใจ-ว่าเขากำลังส่งตัวผู้ถูกกล่าวหาให้กับองค์กรตุลาการที่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ไร้ขื่อแป หาใช่กระบวนการยุติธรรมที่ถูกทำนองคลองธรรมอันจะนำไปสู่คำพิพากษาอันยุติธรรมไม่
เป็นที่ตระหนักกันดีว่าสถานการณ์ในเยอรมนีสมัยนาซีนั้น เราสามารถเชื่อมั่นได้เลยว่า ใครก็ตามที่ถูกแจ้งข้อหาว่าเป็นผู้เขียนข้อความ “ฮิตเลอร์เป็นฆาตรกรสังหารหมู่และต้องถูกประณามที่ทำให้เกิดสงคราม” ย่อมไม่มีทางรอดชีวิตแน่ๆ คนอย่าง Puttfarken คงไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าระบบตุลาการนั้นสร้างความวิปริตให้กฎหมายได้ “อย่างไร” แต่อย่างน้อยเขาจะต้องกระจ่างแจ้งแก่ใจพอที่จะรู้ว่ามันย่อมเป็นเช่นนั้นได้
คดีนี้จึงสรุปได้ว่า สาวกนาซีแจ้งความดำเนินดคีกับผู้เป็นปฏิปักษ์กับระบอบนาซี โดยที่แม้แต่ในสมัยนาซีเองก็มิได้มีกฎหมายบังคับให้ใครต้องร้องทุกข์กล่าวโทษใคร และโดยที่สาวกนาซีนั้นก็รู้อยู่แก่ใจว่าระบบยุติธรรมภายใต้ระบอบฮิตเลอร์นั้นโหดร้ายป่าเถื่อนและผิดทำนองคลองธรรม
ถึงที่สุดแล้วคำประกาศอันหาญกล้าของ Gottig ที่ว่า “ฮิตเลอร์เป็นฆาตรกรสังหารหมู่และต้องถูกประณามที่ทำให้เกิดสงครามโลก” คือความจริงอันชัดแจ้ง ใครก็ตามที่ประกาศและเผยแพร่ความจริงข้อนี้มิได้คุกคามความมั่นคงของประเทศเยอรมนี แต่เป็นความพยายามช่วยขจัดผู้คิดทำลายประเทศเยอรมนีต่างหาก และดังนั้นจึงเป็นการช่วยปกป้องชาติ 
Puttfarken ยอมรับว่าเขามีเจตนาอยากให้ Gottig ขึ้นตะแลงแกงประหารชีวิต ซึ่งตามบทบัญญัติทางกฎหมายอาญาแล้วเท่ากับว่าการแจ้งความของเขาเป็นการวางแผนฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ต่อความจริงที่ว่าศาลนาซีเป็นผู้ตัดสินประหารชีวิต Gottig ก็ไม่ได้ทำให้ Puttfarken รอดพ้นจากอาชญากรรมที่เขาก่อ 
Radbruch ประณามศาลอย่างไม่อ้อมค้อมว่า ไม่เคยมีใครคาดฝันมาก่อนว่าศาลเยอรมันจะกลายเป็นเครื่องมือเพื่อการฆาตกรรมของอาชญากร
การแจ้งความของ Puttfarken จึงเข้าข่ายการฆาตกรรมทางอ้อม หรือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับการฆาตกรรม อีกทั้งยังใช้ศาลเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุความประสงค์ร้ายของตนต่อผู้อื่น และเราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเหล่าผู้พิพากษาภายใต้การปกครองของรัฐบาลนาซีที่ตัดสินลงโทษประหารชีวิต Gottig จะต้องถูกถือว่าเป็นฆาตกรด้วยเช่นกัน
แต่จะทำอย่างไรหากสังคมหนึ่งมีคนอย่าง Puttfarken (รวมทั้งคนสนับสนุน-แอบสะใจ) เต็มไปหมด? จะทำอย่างไรเมื่อการเปลี่ยนระบอบจากระบอบที่บิดเบือนความยุติธรรมให้วิปริต (เช่น เผด็จการนาซี) ไปสู่ระบอบที่มีหลักความยุติธรรมสากลเป็นพันธกิจ (เช่น ประชาธิปไตย) ซึ่งแปลว่าระบอบแรกจะต้องหมดอำนาจและถูกแทนที่ด้วยระบอบหลัง อันจะนำไปสู่การไต่สวนแสวงหาความยุติธรรมและสถาปนาบรรทัดฐานทางสังคมที่ถูกต้องเป็นธรรมได้อย่างเต็มที่ ก็ยังไม่เกิดขึ้นและยังมืดมนมองไม่เห็นอนาคต? จะทำอย่างไรกับสังคมที่ไม่ได้ให้คุณค่ากับความยุติธรรมและความจริง/ข้อเท็จจริง เท่ากับความสามัคคีและสถานภาพลำดับชั้นเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมที่ความจริงไม่อาจสร้างความระคายเคืองได้? จะทำอย่างไรกับสังคมที่ง่อยเปลี้ยกับความสามารถจะยึดมั่นในหลักการนามธรรม แต่แข็งขันกับการติดยึดงมงายกับตัวบุคคลโดยเฉพาะบรรดาผู้ทรงอำนาจบารมีทางวัฒนธรรมตลอดเวลา? การง่อยเปลี้ยกับหลักการนามธรรม การบังคับกล่อมเกลาและเผยแผ่แต่คำเทศนาโดยปราศจากวัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์อย่างกว้างขวางทะลุทลวงมาเป็นเวลายาวนานมิใช่หรือ ที่เป็นเหตุที่ทำให้บุคคลที่อยู่ในเครือข่ายชนชั้นนำสามารถออกมาพูดอะไรก็ได้ที่น่าตกใจและน่าหัวร่อในความดัดจริต หน้าด้าน ไร้ยางอาย มือถือสากปากถือศีล
หาก “ปรับใช้” (โดยมิได้หมายความว่าเป็นกรณีที่จะเทียบให้เหมือนหรือแม้แต่คล้ายกันได้ เพราะไม่มีอะไรในโลกเทียบกับฮิตเลอร์-นาซีได้ แต่หลักการนี้ตั้งเป็นทฤษฎีให้ใช้กับกรณีอื่นๆ ที่มีลักษณะไม่เป็นธรรมรุนแรงถึงขั้น “มิอาจทนได้” ได้เช่นกัน) หลักการลบล้างและเอาผิดคำพิพากษาของศาลนาซีกับกระบวนการยุติธรรมในประเทศที่อุดมการณ์คลั่งเจ้าแผ่ซ่านแทรกซึมไปทั่วทุกองคาพยพในสังคม ต่อให้ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ แต่หากคำพิพากษาตามบทบัญญัตินั้นดำเนินไปภายใต้ระบอบกฎหมาย-ตุลาการ-ความยุติธรรมที่ฉ้อฉลและละเมิดหลักนิติธรรม ก็ควรที่จะต้องมีการดำเนินคดีอาญากับคำพิพากษาที่ไร้ทั้งความยุติธรรมและมนุษยธรรม หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่า ด้วยความรู้สึกผิดบาปและด้วยสปิริตของการคิดแก้ไขในสิ่งที่ผิดแบบประเทศเยอรมนีหลังยุคนาซี เราไม่สามารถปล่อยให้คำพิพากษา (หรือ “ผังล้มเจ้า” ฯลฯ) ที่เป็นเครื่องมือของระบอบเผด็จการซ่อนรูปลอยนวล แต่ต้องเอาผิดกับอาชญากรรมและความเท็จที่กระทำในสถานะของคำพิพากษานั้น ประกาศลบล้างหรือความเป็นโมฆะของคำพิพาษา และชดเชยเยียวยาเหยื่อทั้งหมด (แม้ในความเป็นจริงแล้ว ดูจะทำไม่ได้สักอย่างเดียว)
คำพิพากษาซึ่งวางอยู่บนฐานของความไร้มนุษยธรรมย่อมไม่มีสถานะและศักดิ์ศรีที่จะเป็นกฎหมายตั้งแต่แรก ความอยุติธรรมอย่างรุนแรงไม่ใช่และไม่มีสถานะเป็นกฎหมาย สังคมที่เห็นดีเห็นงามกับการดำเนินคดีและการลงโทษอย่างป่าเถื่อน อันถือเป็น state legitimized injustice คือสังคมที่ล้มละลายทางศีลธรรม
นับตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 จวบจนบัดนี้ อันเป็นช่วงของปรากฏการณ์ “อำนาจเหนือรัฐ-อำนาจนอกระบอบประชาธิปไตย”, “ตุลาการภิวัตน์”, “ตาสว่าง-ปากสว่าง”, “ความเป็นไทย/รอยัลลิสต์บ้าคลั่ง”, “สองมาตรฐาน”, “มหันตภัยมาตรา 112” อาจถือได้ว่าคือช่วงเวลาที่เทียบเคียง “อย่างห่างๆ” ได้กับที่ Radbruch ตั้งทฤษฎีว่าคือช่วงเวลา “exceptional/extraordinary” (โดยมีเยอรมนียุคนาซีเป็นตัวแบบ) ช่วงเวลา “พิเศษ/ไม่ปกติ” เช่นนี้คือช่วงเวลาที่บทบัญญัติทางกฎหมาย (ในกรณีของไทยต้องครอบคลุมถึง “อุดมการณ์วัฒนธรรมการเมือง” ที่กำกับการใช้กฎหมาย) มีลักษณะที่ขัดกับหลักความยุติธรรมอย่างใหญ่หลวงในระดับที่ “สุดจะทนทาน” จนถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมการบังคับใช้กฎหมายที่ผิดพลาด-เลวร้ายอย่างรุนแรง ด้วยเหตุแห่งความผิดพลาด-เลวร้ายดังกล่าวจึงถือได้ว่ากฎหมายนั้นปราศจากสถานภาพความเป็นกฎหมาย และเราต้องใช้ดุลยพินิจที่อิงกับหลักความยุติธรรม “แทน” ตัวบทกฎหมาย (รวมทั้งประเพณีและการเมืองของการใช้กฎหมาย) ที่อยุติธรรมและสามานย์
ฉะนั้นเฉพาะในกรณีที่ “extreme” หรือ “unique” เท่านั้น ที่เราพึงใช้มโนธรรมสำนึกทางศีลธรรมแทนการเชื่อฟังกฎหมาย และร่วมตระหนักโดยทั่วกันว่า กฎหมายไม่ใช่กฎหมายอีกต่อไป โดย “กฎหมาย” ในที่นี้จำต้องตีความให้กว้างขวางครอบคลุมถึงกระบวนการยุติธรรม(ระยำๆ)ทั้งระบบ ตั้งแต่การฟ้องร้องไปจนถึงคำพิพากษา
แต่ในความเป็นจริง กระบวนการลบล้างหรือประกาศให้ผลพวงของบทบัญญัติที่ผิดหลักนิติธรรมเสียเปล่า ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น และไม่เคยมีผลทางกฎหมาย, การไต่สวนเอาผิดการกระทำที่เคยถูกต้องตามกฎหมายป่าเถื่อน และการสถาปนาหลักการแห่งความเป็นธรรมขึ้นใหม่ ย่อมกระทำได้ก็ต่อเมื่อระบอบนาซีล่มสลายไปแล้ว เพราะในห้วงเวลาที่ท่านผู้นำแห่งอาณาจักรไรค์ที่สามครองอำนาจ ข้อความที่ว่า “ฮิตเลอร์เป็นฆาตกรสังหารหมู่” (หรือข้อความใดก็ตามที่แสดงการวิพากษ์วิจารณ์และเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบนาซี) แม้จะเป็นความจริงแท้ที่สุด ก็เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายนาซี ถูกสาวกนาซีนำไปฟ้องร้อง และถูกศาลนาซีตัดสินประหารชีวิต
ถ้าไม่หน้ามืดตามัวเกินไป มันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายมาก กฎหมายที่ดีจะต้องตราขึ้นเพื่อผดุงหลักความยุติธรรมพื้นฐานอย่างเสมอภาค มิใช่ผดุงอุดมการณ์ผู้นำเผด็จการหรือผู้นำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน
ความยุติธรรมแบบสากล (ซึ่งยึดหลักการสูงสุดว่า มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย) ที่ไม่มีอุดมการณ์วัฒนธรรมแบบไทยๆ (ซึ่งยึดหลักการสูงสุดว่า คนไม่มีวันจะเท่ากัน ไม่ว่าต่อหน้ากฎหมาย หรือหน้าไหนๆ) ปนเปื้อนเท่านั้น ที่จะเป็นหลักประกันความปลอดภัยของการพูดความจริง ส่วนความยุติธรรมแบบครึ่งๆ กลางๆ แบบประนีประนอมหรือแบบปลอมๆ อาจเป็นการผ่อนหนักมากเป็นหนักน้อย แต่มิใช่ความยุติธรรมตามมาตรฐานสากลที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างแท้จริง
แม้จะดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ความจริงแล้วความยุติธรรมแบบสากลมิอาจได้มาอย่างมั่นคงด้วยการต่อรองหรือการกดดันตามสถานการณ์ทางการเมือง เพราะความยุติธรรมเช่นนั้นจะลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงก็ด้วยการเปลี่ยนอุดมการณ์ความคิดจิตใจ คุณค่า และค่านิยมของทั้งสังคมเท่านั้น
“ความไม่เสมอภาค” เป็นโครงสร้าง ระเบียบแบบแผน และหลักการสูงสุดและสำคัญที่สุดในสังคมไทย การเชื่อในระเบียบสังคมแนวดิ่งอันเป็นหัวใจของวัฒนธรรมไทยนี่เองที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของความคิดสากลเรื่องสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และความยุติธรรม เพราะเมื่อ “คนไม่เท่ากัน” สิทธิก็ต้องไม่เท่ากัน เสรีภาพไม่เท่ากัน อำนาจไม่เท่ากัน ได้รับการปฏิบัติไม่เท่ากัน ถูกขังฟรี-ตายฟรีไม่เท่ากัน ความยุติธรรมในสังคมไทยคือความยุติธรรมที่อยู่บนฐานของความไม่เท่ากันของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น คนที่มีช่วงชั้นสถานะทางวัฒนธรรมสูง ทำอะไรผิดก็ไม่ผิด ส่วนคนที่มีช่วงชั้นสถานะทางวัฒนธรรมต่ำ ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ผิด ทั้งหมดนี้เราจะเห็นแบบโจ่งแจ้งบ้าง ปิดบังอำพรางบ้าง และแนบเนียนจนเกือบไม่เห็น(เพราะเคยชิน)บ้าง
เช่นนี้แล้ว วัฒนธรรมของกระบวนการยุติธรรมของไทยจึงอยู่ในภาวะที่ “ไม่ค่อยปกติ” มาแต่แรกอยู่แล้ว มันจึงไม่ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ (ordinary/extraordinary) แบบกรณีเยอรมันก่อนนาซีกับช่วงนาซี แต่เป็นการ “เพิ่มขึ้น” ของดีกรี “extraordinary” ที่ดำรงอยู่แล้วนั่นเอง หากช่วง “อปกติ” ในยุคนาซีคือช่วง “สะดุดชั่วคราว” ของสังคมเยอรมัน ความ “อปกติ” ของไทยคือสภาวะอันไม่สะดุดของการไปไม่ถึงมาตรฐานสากลและเต็มใจที่จะอยู่กับความ “พิการ” ซึ่งไม่ถูกตระหนักว่าเป็นความพิการ ทว่ากลับถือกันเป็น “ลักษณะพิเศษอย่างไทย” ที่ควรทนุถนอมสืบไป ภาวะ “ไม่ปกติ” นี้จะขึ้นลงแปรผันตามระดับการอ้างความเป็นไทย ยิ่งเป็นไทยมากเท่าไหร่ กล่าวคือไม่ฟังเสียงท้วงติงและกระเหี้ยนกระหือจะต่อสู้กับโลกสากลเพื่อโชว์ว่าไทยเจ๋งสุดในจักรวาลทางช้างเผือกมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสำแดงอาการไม่ปกติหรือวิปริตวิตถารมากเท่านั้น
เท่าที่เพดานของความเป็นไปได้จะเอื้ออำนวย แถลงการณ์และข้อเสนอทั้งหลายของกลุ่มนิติราษฎร์จึงคือการพยายามขจัดความวิปริตและสถาปนาความอารยะให้กับวงการตุลาการและระบบกฎหมายไทยที่วางอยู่บนอุดมการณ์และปฏิบัติการแบบยุคก่อน Enlightenment
อันที่จริงแล้ว อิทธิฤทธิ์ของอุดมการณ์และโครงสร้างวัฒนธรรมอนุรักษนิยมในสังคมไทยแผ่แสนยานุภาพเหนือหลักการสากลทั้งปวงที่ไทยรับจากตะวันตก ฤทธิ์เดชของความเป็นไทยๆ ที่แทรกซึมอยู่ในหลักการสากลต่างๆ จึงทำให้หลักการสากลล้วนแล้วแต่ทุพพลภาพเมื่อถูกใช้ในเมืองไทย แทบทุกหลักการและกฎเกณฑ์สากลเมื่อถึงคราวจะต้องปะทะขัดแย้งก็จะพ่ายแพ้และต้องหลีกทางให้กับวัฒนธรรมหลายมาตรฐาน วัฒนธรรมเจ้าขุนมูลนาย วัฒนธรรมคลั่งเจ้า วัฒนธรรมอุปถัมภ์ วัฒนธรรมผู้ใหญ่-ผู้น้อย วัฒนธรรมเอาหน้า-หน้าใหญ่-ไม่ยอมเสียหน้า วัฒนธรรมประจบและให้อภิสิทธิ์คนใหญ่คนโต วัฒนธรรมนักเลงโต วัฒนธรรมใต้โต๊ะ วัฒนธรรมตอแหล-มือถือสากปากถือศีล ฯลฯ วัฒนธรรมอันดีงามเหล่านี้ทำให้เราต้องย้ำซ้ำอีกครั้งว่า กระบวนการยุติธรรมแบบสากลที่ไทยเอาอย่างฝรั่ง แม้ในยามปกติ (ซึ่งในความหมายของ Radbruch คือสภาวะปกติที่เราต้องเคารพตัวบทกฎหมายที่ผ่านกระบวนการโดยถูกต้องชอบธรรม) ก็ไม่ถูกต้องตามหลักการและหลักปฏิบัติที่พึงเป็นอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมโดยเสมอหน้า ไม่มีความชัดเจนแน่นอนที่เป็นมาตรฐาน ไม่มีคนที่เท่ากันเบื้องหน้ากฎหมาย ไม่ปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์
การยืนยันว่าระบบกฎหมายไทยเคารพสิทธิเสรีภาพและยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรมตามหลักสากลที่เสมอภาคและเป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามทุกประการ จึงเป็นการแก้ตัวที่โป้ปดเหลวไหล และเผยให้เห็นวัฒนธรรมไร้ยางอายแบบไทยๆ ที่พบเจออยู่เป็นปกติวิสัยเท่านั้นเอง เราจึงตั้งสมมติฐานได้ว่าวงการยุติธรรมส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะไม่ได้ปกป้อง “justice” แต่ปกป้อง “authority” ของตนเอง ซึ่งเป็นนโยบายเดียวกันกับสถาบันทุกชนิดในสังคมไทยโดยเฉพาะสถาบันทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการปกป้อง “authority” ไม่ให้คำวิจารณ์หรือข้อเท็จจริงในทางลบใดๆ มาสั่นคลอนสถานะอำนาจของตนเองได้
แน่นอนว่าในหลายๆ กรณี อะไรคือความ “ยุติธรรม” ย่อมถกเถียงโต้แย้งกันได้ แต่กรณีสุดโต่งคือกรณีที่ปรากฏชัดถึงความ “อยุติธรรม” อย่างสิ้นสงสัย (“beyond reasonable doubt”) ความพยายามจะสงสัยหรือสาดโคลนในสิ่งที่พ้นไปจากความน่าสงสัย เป็นเพียงละครสัตว์เพื่อกลบเกลื่อนการไร้ซึ่งมโนธรรมสำนึกของสิ่งมีชีวิตในคณะละคร
ควรหรือไม่ที่ความอยุติธรรมและความป่าเถื่อนจะเป็นสิ่งที่ประนีประนอมได้? ในการวางหลักเกณฑ์บรรทัดฐานที่ถูกต้อง ก็ย่อมไม่ควร การกระทำที่ไม่ควรต้องติดคุก ย่อมไม่ควรถูกประนีประนอมด้วยการลดจำนวนปีที่ติดคุกหรือรอรับการอภัยโทษ เพราะการลดโทษหรือลดการฟ้องร้องพร่ำเพรื่อก็ไม่ได้ทำให้เรามีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น เรื่องที่ไม่อาจถกเถียง อภิปราย เปิดเผย หรือไต่สวนได้ ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป
ในการรณรงค์ ผลักดัน เคลื่อนไหว กดดัน การจำเป็นต้องประนีประนอม หรือการพึงใจในหนทางแห่งการปรองดอง ไม่ได้ทำให้หลักการที่ควรจะเป็น หรือหลักการอันไม่ควรจะประนีประนอม (นั่นคือการ “ยกเลิก” สิ่งที่ “ควรต้อง” ยกเลิกมากมายหลายประการที่ผิดหลัก constitutional monarchy หรือการไต่สวนหาความจริง) ถูกต้องน้อยกว่า และไม่ได้ทำให้การประนีประนอม (โดยเฉพาะที่มิได้ถูกบีบบังคับ แต่เพราะศรัทธาในอุดมการณ์กษัตริย์นิยมอย่างเหนียวแน่น และมีความเป็น “ไทยๆ” สูง) ถูกต้องมากกว่า แต่ถึงจุดหนึ่งแล้ว เราอาจเลือกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะประนีประนอมหรือไม่
ไม่ว่าในที่สุดแล้วการปฏิรูปหรือยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 จะทำได้หรือไม่เพียงใด จะถูกประนีประนอมหรือฉวยโอกาสบิดเบือนหรือไม่เพียงใด องค์ประกอบของที่มา อุดมการณ์ เจตนารมย์ วัฒนธรรมการตีความและบังคับใช้ (ถูกแก้ไขเพิ่มเติมโดยคณะรัฐประหาร ถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ใครฟ้องก็ได้ ไม่ให้เผยแพร่เนื้อหา ไม่ให้ประกันตัว พิจารณาคดีลับ ใช้วิธีพิจารณาคดีผิดหลักนิติธรรม ใช้โซ่ตรวน สัดส่วนโทษต่อความผิด) คำวินิจฉัยพิพากษา บทลงโทษ รวมทั้งเหยื่อที่ตกทุกข์ได้ยาก ล้วนทำให้มาตรา 112 มีลักษณะที่เข้าข่าย “arbitrary, cruel, criminal law” และ “crimes against humanity” ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และความอยุติธรรมอย่างรุนแรงที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็อาจทำให้บทบัญญัตินี้ไม่สมควรมีสถานะเป็นกฎหมายตั้งแต่แรกและอีกต่อไป
ท้ายที่สุด หากใช้กฎของ Radbruch ที่ว่า “equality” (ความเสมอภาคมาตรฐานเดียวภายใต้กฎหมาย “To judge without regard to the person, to measure everyone by the same standard.”) คือแก่นของความเป็นกฎหมายแล้วไซร้ ไม่เพียงไม่มีความยุติธรรม ประเทศไทยคือประเทศที่ไม่มีกฎหมาย
        
ความยุติธรรมนอกอาณาเขต
โลกนี้มักเต็มไปด้วยตลกร้ายอันรวดร้าว เมื่อนึกถึงกรณีอย่าง Harry Nicolaides, Oliver Jufer หรือ Joe Gordon ไฉนเลยเราจะไม่คิดอยากรื้อฟื้นสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเพื่อมอบให้กับชาวต่างชาติทั้งหลายที่ถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นฯ อย่างไม่เป็นธรรมและไร้มนุษยธรรม
(Extraterritorial Right คือสิทธิพิเศษที่จะไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของกฎหมายท้องถิ่น หรือสิทธิพิเศษที่จะใช้กฎหมายของประเทศหนึ่งบังคับแก่บุคคลที่เป็นพลเมืองของตนที่ไปอยู่ในดินแดนอื่น เช่น คนอังกฤษหรือคนในบังคับอังกฤษที่ทำผิดกฎหมายไทยไม่ต้องขึ้นศาลไทย แต่ให้ไปขึ้นศาลกงสุลของอังกฤษ ฝรั่งอ้างว่าเพราะระบบพิจารณาคดีของสยามล้าหลังป่าเถื่อน -- จริงของเขา!)
อุดมการณ์ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์นิยมในประวัติศาสตร์นิพนธ์ขับเน้นความชอกช้ำของการ “เสียอำนาจอธิปไตยทางการศาล” จากการถูกบีบให้ทำสนธิสัญญาเบาว์ริงในสมัยคิงมงกุฏ ในขณะที่สร้างและโทษภัยคุกคามต่างๆ นานาว่ามาจากภายนอก อุดมการณ์เดียวกันนี้ก็ทั้งอำพรางและค้ำจุนความอยุติธรรมที่เบ่งบานจนกลายเป็นระเบียบสังคมปกติอยู่ภายในสถาบันทางวัฒนธรรมต่างๆ อันมาจากโลกทัศน์และโครงสร้างอำนาจแบบไทยเองที่ไม่ยอมปล่อยให้ความศิวิไลซ์อยู่เหนือกว่าความเป็นไทย
ใครเล่าจะนึกฝันไปถึงว่า วันหนึ่งในศตวรรษที่ 21 ชาวพื้นเมืองจะหวาดกลัว สิ้นหวัง เสียใจและอับอายเสียจนอยากจะขอเอามรดกการเอารัดเอาเปรียบของลัทธิล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 กลับมาใช้เป็นเครื่องมือปกป้องเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนให้กับลูกหลานญาติมิตร (รวมทั้งผู้ได้สัญชาติ) ของเจ้าอาณานิคมในปัจจุบันที่ตกเป็นเหยื่อของระบบยุติธรรมในประเทศของพวกเขา - ประเทศที่มีวิวัฒนาการความอนารยะทะยานไปไกลบนความลำพองใจที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้น
การมีอธิปไตยทางการศาลจะมีค่าอันใดในเมื่ออำนาจอธิปไตยยังไม่ได้เป็นของราษฎรทั้งหลาย 
ในยุคสมัยที่ความเป็นคนไทยกำลังกลายเป็นโรคทางจิตเวชแบบรุนแรงชนิดหนึ่ง พร้อมๆ กับที่ความเจ็บปวดคับแค้นกำลังกลายเป็นอาการสามัญในชีวิตประจำวันของผู้คนที่โดนฝูงคนไข้โรคจิตชี้หน้าว่าไม่ใช่คนไทยบ้าง เป็นคนไทยอกตัญญูเนรคุณบ้าง ชาวพื้นเมืองที่ถูกพิษตกค้างของระบอบเก่ากดขี่ข่มเหงอย่างทารุณอีกมากมายอาจจะปรารถนาสิทธิสภาพต่างแดนนี้ในแดนตนเช่นกัน
Justice is Elsewhere.
เพราะไม่ใช่ที่นี่ ความยุติธรรมอยู่ที่อื่น       


***
อ้างอิง
1. มีชัย ฤชุพันธุ์. “ปัญหาการแก้ไขมาตรา 112 ของกฎหมายอาญา.” http://www.meechaithailand.com/ver1/rhyme112.html
2. มติชนออนไลน์. วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554. http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1324559235&grpid=00&catid=&subcatid=  
3. Radbruch, Gustav. “Statutory Lawlessness and Supra-Statutory Law (1946).” & “Five Minutes of Legal Philosophy (1945).” Translated by Bonnie Litschewski Paulson and Stanley L. Paulson in Oxford Journal of Legal Studies, Vol. 26, No. 1 (2006), pp. 1-11, 13-15.

แอมเนสตี้เรียกร้องไทย ยกเลิกโทษประหารชีวิต

แอมเนสตี้เรียกร้องไทย ยกเลิกโทษประหารชีวิต

เมื่อ 12 ต.ค. 2554
วันยุติโทษประหารชีวิตสากล แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดกิจกรรมรณรงค์เปิดให้ร่วมลงชื่อเรียกร้องให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยมี “เบนซ์” พรชิตา ณ สงขลา ร่วมกิจกรรมด้วย
วันที่ 9 ตุลาคม 2554 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และอาสาสมัคร ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านการใช้โทษประหารชีวิตในกระบวนการยุติธรรมที่บริเวณตลาดนัดสวนจตุจักร มีการเปิดให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมกันลงชื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยมี “เบนซ์” พรชิตา ณ สงขลา นักร้องนักแสดงร่วมกิจกรรมด้วย
เนื่องจากวันที่ 10 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันยุติโทษประหารชีวิตสากล แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรรณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชนในระดับสากล จึงจัดกิจกรรมต่อต้านการใช้โทษประหารชีวิตในประเทศไทยขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำ โดยปีนี้จัดขึ้นในวันที่ 9 ตุลาคม 2554 อาศัยลานกิจกรรมบริเวณข้างตึกอำนวยการตลาดนัดสวนจตุจักรเป็นสถานที่จัดกิจกรรม
ในวันดังกล่าว แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้จัดกิจกรรมเปิดโต๊ะเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมกันลงชื่อแสดงพลังเรียกร้องรัฐบาลไทยให้รักษาสัญญา ยกเลิกโทษประหารชีวิตให้เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต เพราะรัฐบาลไทยเคยประกาศไว้ใน แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่2 (พ.ศ.2552-2556) ว่า 
ตัวชี้วัดระดับกลยุทธ์ 3.1 "...กฎหมายที่มีอัตราโทษประหารชีวิตได้เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาให้มีการยกเลิกให้เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต..." 
ทั้งนี้แอมเนสตี้ได้ประกาศว่า ปัจจุบันประเทศต่างๆทั่วโลกกว่า 150 ประเทศ ยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้ว แต่ประเทศไทยยังเป็น 1 ใน 58ประเทศส่วนน้อยที่ยังใช้โทษประหารชีวิตอยู่ และ “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ต่อต้านการประหารชีวิตในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างถึงรูปแบบของอาชญากรรม บุคลิกลักษณะของผู้กระทำความผิดหรือวิธีการที่รัฐใช้ในการประหารชีวิตนักโทษ” 
เวลาประมาณ 15.00น. บริเวณเวทีการแสดงมีการแสดงละครลักษณะสตรีทเพลย์ (street play) เรื่อง “โพงพางเอย” โดยกลุ่มละครใบไม้ไหว เพื่อให้ความรู้และเปิดประเด็นชวนให้ทุกคนร่วมกันคิดเกี่ยวกับเรื่องการประหารชีวิต นักแสดงได้ถ่ายทอดวิธีคิดเรื่องการประหารชีวิตของคนในสังคมที่แตกต่างกันหลายแง่มุม และนำเสนอปัญหาของกระบวนการยุติธรรมที่อาจผิดพลาดและอาจลงโทษผู้ที่ไม่ได้กระทำความผิดจริงด้วย
เวลาประมาณ 15.30 น. อาสาสมัครแอมเนสตี้จำนวนหนึ่งได้ออกเดินขบวนรณรงค์ให้ยุติโทษประหารชีวิต ไปตามทางเดินรอบตลาดนัดสวนจตุจักร เพื่อให้ประชาชนที่มาเที่ยวตลาดนัดทราบถึงกิจกรรมรณรงค์ครั้งนี้ โดยมีการแต่งกายด้วยชุดนักโทษพร้อมโซ่พันธนาการ ภายใต้แนวคิด “ยุติโทษประหารชีวิต สนับสนุนสิทธิมนุษยชน”
 
จุดสนใจของกิจกรรมวันนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก ดาราสาวยอดนิยม “เบนซ์” พรชิตา ณ สงขลา นักร้องนักแสดง ได้เดินทางมาร่วมทำกิจกรรม ในฐานะเซเลบริตี้ (celebrity)ของแอมเนสตี้ด้วย โดย เบนซ์ร่วมขึ้นเวทีพูดคุยประชาสัมพันธ์กิจกรรมให้ทางแอมเนสตี้ และช่วยนั่งขายของที่ระลึก เช่น โปสการ์ด เสื้อ บริเวณหน้าโต๊ะของแอมเนสตี้พร้อมกับการเชิญชวนคนมาร่วมลงชื่อเพื่อสนับสนุนการยกเลิกโทษประหารชีวิต ทำให้มีผู้สนใจเข้ามาร่วมกิจกรรมกับ เบนซ์ เป็นจำนวนมาก
โดยเบนซ์ พรชิตา กล่าวว่า การมาร่วมกิจกรรมวันนี้ ทำให้มีโอกาสได้รู้เรื่องที่ไม่ค่อยเคยได้ยินในบ้านเรา และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีอะไรให้ได้คิด เมื่อก่อนอาจจะคิดว่าคนที่ทำให้คนอื่นตายก็สมควรตายเหมือนกัน แต่วันนี้เมื่อได้มาดูละครก็ได้คิดว่า ไม่ฆ่าเขาก็ดีเหมือนกัน เพราะคนรอบข้างเขาไม่เกี่ยว และถ้าหากเขาไม่ได้ทำผิดจริงวันหนึ่งอาจจะถูกปล่อยออกมาได้ ควรให้เวลาพิสูจน์ตัวเองสำหรับคนที่ถูกจับ อย่าไปฆ่าเขาดีกว่า เพราะในบ้านเราเรื่องความยุติธรรมเรื่องกฎหมายยังไม่มั่นคงเท่าไร คนเป็นแพะเยอะมาก 
พรชิตายังกล่าวอีกว่า บอกกับทางแอมเนสตี้ไว้แล้วว่าหากมีงานอะไรก็อยากมาช่วยอีก เพราะเราก็เป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง อะไรที่เราไม่รู้ก็จะมาถามคนรู้ อยากเอาไปบอกคนอื่น อยากให้คนอื่นได้รู้สิทธิของตัวเองอย่างที่เราได้รู้ และเราจะมีชีวิตได้เท่าเทียมกันคนอื่น ถึงแม้ว่าจะเรียนน้อย ไม่มีเงิน แต่ก็มีสิทธิเทียบเท่ากับคนรวยหรือคนที่ได้เรียนหนังสือ ซึ่งอยากให้ทุกคนได้มาลองฟังจะได้รู้ว่าตัวเองมีสิทธิอะไรบ้าง
กิจกรรมดังกล่าว มีคนร่วมลงชื่อเพื่อสนับสนุนการยกเลิกโทษประหารชีวิต 104 คน และแอมเนสตี้ได้รับเงินบริจาคกว่า 4,000 บาท ซึ่งจะนำไปใช้ในการทำกิจกรรมรณรงค์เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนต่อไป
ทั้งนี้การรณรงค์เพื่อยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิตของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จะยังเดินหน้าต่อไปในหลายรูปแบบ และจะเป็นยุทธศาสตร์การรณรงค์หลักของแอมเนสตี้ในปี 2555 โดยทุกคนสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงพลังสนับสนุนการยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิตได้ ซึ่งทุกกิจกรรมที่แอมเนสตี้จะจัดขึ้นต่อไป จะมีการเปิดโต๊ะให้ลงชื่อสนับสนุนด้วย และยังสามารถร่วมลงชื่อออนไลน์ได้แล้ว โดยคลิกที่นี่






กวีประชาไท: ของขวัญยามฉันเติบโต

กวีประชาไท: ของขวัญยามฉันเติบโต





ฉันโตแล้ว
ฉันจึงไม่ใฝ่ฝันถึงของขวัญวันคริสต์มาส
จากซานตาครอสเคราขาว
ผู้ขี่มาในเลื่อนพร้อมกวางเรนเดียร์
ฉันโตแล้ว
ฉันจึงไม่คิดว่าจะได้พบ
ซานตาครอสเคราขาวผู้ลงมาตาม
ปล่องไฟโบราณ
เพื่อบอกฉันว่าฉันเป็นเด็กดีเพียงใด
ฉันโตแล้ว
ฉันจึงหวังจะได้ของขวัญ
จากกรรมการสิทธิมนุษยชนในประเทศของฉันมากกว่า
กรรมการสิทธิผมสีขาวผู้มาพร้อมกับ
รถเบนซ์และน้ำมันฟรีเต็มถัง
ฉันโตแล้ว
ฉันจึงหวังจะได้ของขวัญจากกรรมการสิทธิ
ผู้ลงมาจากบันไดหอคอยงาช้าง
เพื่อบอกฉันว่า
พวกเขาได้แลเห็นและรับรู้
ถึงเหล่าผู้ถูกกระทำในประเทศ
มากเพียงใด
และเมื่อฉันคิดเช่นนั้น
ฉันจึงพบว่าฉันเป็นเด็กทารกมากเพียงใด
เด็กทารกที่ไม่กล้าจะเติบโต
เพื่อยอมรับความจริง
ในประเทศนี้
.........................................
หมายเหตุผู้เขียน: บทกวีวันคริสต์มาส ในวันที่ไม่มีอยู่ทั้งซานตาครอสและกรรมการสิทธิมนุษยชนในประเทศนี้
                               (แรงบันดาลใจจากบทความของ มุกหอม วงษ์เทศ)

รัฐบาลพม่าอาจปล่อยนักโทษรอบใหม่ปีหน้า

รัฐบาลพม่าอาจปล่อยนักโทษรอบใหม่ปีหน้า



ระหว่างการเจรจาสันติภาพกับพรรครัฐมอญใหม่ (New Mon State Party – NMSP)) นายอองมิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงขนส่งทางรถไฟที่ร่วมโต๊ะเจรจาได้บอกกับพรรครัฐมอญใหม่ว่า รัฐบาลพม่ามีแผนจะนิรโทษกรรมนักโทษรอบใหม่ในวันที่ 4 เดือนมกราคมและวันที่ 12 เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
ทั้งนี้ นายหงษ์สา ผู้นำพรรครัฐมอญใหม่ได้เปิดเผยว่า ตัวแทนจากรัฐบาลพม่าได้บอกกับเขาว่า รัฐบาลนั้นมีแผนจะปล่อยตัวนักโทษการเมืองรอบใหม่ โดยให้รอดูวันที่ 4 มกราคม ซึ่งตรงกับวันเอกราชของพม่า และวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ตรงกับวันสหภาพพม่า
มีรายงานเช่นกันว่า นางอองซาน ซูจี ได้บอกกับนายทุนมิ้นอ่อง หนึ่งในแกนนำของกลุ่มนักศึกษาปี 1988 ระหว่างที่ทั้งสองประชุนกันเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า รัฐบาลพม่านั้นมีแผนปล่อยตัวนักโทษการเมืองอีก ขณะที่ ข่าวนี้สร้างความหวังให้กับครอบครัวของนักโทษการเมืองเป็นจำนวนมาก
ส่วนหลังการเจรจาสันติภาพระหว่างฝ่ายรัฐบาลพม่าและพรรครัฐมอญใหม่ นายอองมิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงขนส่งทางรถไฟพม่ากล่าวว่าเขาพอใจกับการเจรจาครั้งนี้มาก “ผมพอใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์กับการหารือในครั้งนี้ เพราะว่า ชนกลุ่มน้อยให้ความไว้วางใจเราเหมือนเช่นที่เราไว้วางใจพวกเขา” อย่างไรก็ตาม นายอองมินกล่าวว่า การเจรจาสันติภาพกับชนกลุ่มน้อยของรัฐบาลนั้นมีอยู่ 3ขั้น
ขั้นที่ 1คือการยุติสู้รบ ขั้นที่สองคือการตั้งโต๊ะเจรจาทางการเมืองกับชนกลุ่มน้อยทั้งหมด และขั้นที่ 3 คือการนำเอาข้อตกลงที่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและชนกลุ่มน้อยเห็นด้วยไปสู่ในรัฐสภาและแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนการหารือระหว่างฝ่ายรัฐบาลและมอญ มีรายงานว่า ฝ่ายมอญได้เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการโจมตีรัฐคะฉิ่น และอนุญาตให้คนมอญเรียนภาษามอญและวรรณกรรมมอญ รวมทั้งอนุญาตให้ภาษามอญเป็นภาษาราชการในรัฐมอญ
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังเห็นด้วยที่อีกฝ่ายสามารถเข้าไปยังเขตควบคุมของอีกฝ่ายพร้อมอาวุธได้ แต่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ตัวแทนจากรัฐบาลพม่าและมอญจะเจรจาสันติภาพอีกครั้งในเดือนหน้า
อีกด้านหนึ่ง แหล่งข่าวของ KNU (สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง -Karen National Union) รายงานว่า KNU นั้นอาจทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าในวันที่ 12 เดือนมกราคมปีหน้า หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายรบกันมาเป็นเวลา 64 ปี ขณะที่การเจรจาสันติภาพครั้งล่าสุดระหว่างทั้งสองฝ่ายมีขึ้นเมื่อวันพุธ(21 ธันวาคม)ที่ผ่านมา ทั้งนี้ KNU ถือเป็นชนกลุ่มน้อยติดอาวุธอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า
Mizzima /Irrawaddy 23 ธันวาคม 54
ซูจี เดินทางเยือนเนปีดอว์รอบสองเพื่อนำ NLD จดทะเบียนเป็นพรรคการเมือง
หลังจากรัฐบาลพม่าชุดใหม่ไฟเขียวให้พรรคเอ็นแอลดีจดทะเบียนเป็นพรรคการเมือง ล่าสุด นางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคเอ็นแอลดีเดินทางถึงกรุงเนปีดอว์แล้วในวันนี้ เพื่อดำเนินการเรื่องการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมือง มีการคาดการณ์กันว่า นางซูจีจะเดินทางเยือนรัฐสภาพม่าและเข้าพบปะกับนายฉ่วยหม่าน โฆษกสภาล่างและสภาสูงของพม่าเป็นครั้งแรกด้วย
“นายฉ่วยหม่านและนางซูจีจะพบปะกันในช่วงบ่ายนี้ โดยทั้งสองจะพบกันที่รัฐสภา” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเปิดเผยกับสำนักข่าวเอเอฟพี อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นางซูจีพร้อมกับผู้นำระดับสูงของพรรคคนอื่นๆได้ดำเนินการเรื่องการจดทะเบียนพรรคเอ็นแอลดีเป็นพรรคการเมืองที่สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งพม่าในกรุงเนปีดอว์เมื่อเช้าที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า นางซูจีจะเข้าพบปะกับประธานาธิบดีเต็งเส่งและนายฉ่วยหม่าน โฆษกสภาล่างและสภาสูงของพม่าในการเยือนครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม นับเป็นการเยือนกรุงเนปีดอว์ เมืองหลวงแห่งใหม่เป็นครั้งที่สองของนางซูจี โดยการเยือนครั้งแรกมีขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในครั้งนั้น นางซูจีได้รับเชิญจากทางรัฐบาลพม่าให้เข้าร่วมฟังการเสวนาเรื่องเศรษฐกิจ และนางซูจีได้พบปะหารือกับประธานาธิบดีเต็งเส่งเป็นครั้งแรก โดยทั้งสองหารือกันถึงปัญหาสถานการณ์ภายในประเทศและการปฏิรูปประเทศ โดยหลังการหารือครั้งนั้นนางซูจีกล่าวแสดงความพอใจ
Irrawaddy / AFP /ภาพ AP 23 ธันวาคม 54
แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน

สิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน ผ่านมุมมอง "บำรุง คะโยธา" นักสู้สามัญชน


จากชุมชนล่มสลาย สู่ ชุมชนเกษตรอินทรีย์
กุดตาไก้ คือหมู่บ้านหนึ่งในภาคอีสาน ซึ่งเผชิญปัญหาไม่ต่างจากชุมชนในชนบทภาคอีสาน ทั้งความแห้งแล้ง ดินไม่ดี นโยบายการเกษตรเชิงเดี่ยว ปอ อ้อย มันสัมปะหลัง เน้นการปลูกเพื่อขายนำรายได้มาซื้อของในตลาดในการดำรงชีวิต คนหนุ่มสาววัยทำงานต้องอพยพเข้าไปทำงานในเมืองหลวง เหลือเพียงคนแก่คนเฒ่าเลี้ยงหลานอยู่ในหมู่บ้าน
 ภาพเช่นนี้คือคำเล่าขานสภาพชุมชนเมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้วจาก บำรุง คะโยธา ผู้หาญกล้าลุกขึ้นท้าทายกำหนดอนาคตของชุมชนในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ผมกลับมาสร้างชุมชน เริ่มจากบ้านที่ผมอยู่ ที่ดินผมมี 7 ไร่ ลงมือทำกับมันอย่างจริงจัง ในช่วงแรกชาวบ้านก็หาว่าผมบ้า แต่เมื่อเห็นผลเขาก็เข้าร่วมและขยายเครือข่ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
 บำรุงเล่าให้ฟังถึงช่วงแรกๆ ที่กลับมาอยู่บ้าน หลังจากไปขายแรงงานในเมืองเหมือนคนอีสานทั่วไป ก่อนหน้านี้เขายังได้เข้าร่วมต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในกรณีราคาหมูตกต่ำ โดยการนำหมูไปปล่อยเพื่อประท้วงราคาหมูตกต่ำที่หน้าศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์มาแล้ว ประสบการณ์สอนให้เขารู้ว่าต้องรวมกลุ่มรวมตัวกันเพื่อต่อรองราคาหมูกับพ่อค้าคนกลาง แต่นั่นยังไม่พอ เพราะจากพ่อค้าคนกลางยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างซีพีที่คอยตัดราคาทำให้ชาวบ้านต้องขาดทุนเพราะสู้ราคาเขาไม่ได้ นอกจากนี้เขายังเห็นความไม่เป็นธรรมเกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาลที่เปิดการค้าเสรี ทำให้หมูจากต่างประเทศทะลักเข้ามาตัดราคาจนชาวบ้านรายย่อยไม่สามารถสู้กับบริษัทใหญ่ๆได้ วันนี้ชุมชนกุดตาไก้เลี้ยงหมูพื้นบ้านแบบหมูหลุม เพื่อการบริโภค ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อขาย ผลพลอยได้คือปุ๋ยหมักที่หมูหลุมย่ำและพลิกให้ได้ถึงคอกละ 5-7 ตันต่อปี สำหรับใช้ในการเกษตรกรรมของครัวเรือนลดการใช้ปุ๋ยไปได้อย่างมากหรือแทบจะไม่เสียค่าใช้จ่ายในเรื่องปุ๋ยเคมีเลย
เกษตรผสมผสาน ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก : สร้างความมั่นคงทางอาหาร
พื้นที่ 7 ไร่ มีพืชผัก สมุนไพร ไม่น้อยกว่า 200 ชนิด มีบ่อปลา 2 บ่อ ใช้ในการเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีเล้าเป็ด เล้าไก่ เล้าหมูพื้นบ้าน (หมูหลุม) คอกวัว คอกควาย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่นา ปลูกข้าวเหนียวพื้นบ้านไว้กิน ปลูกข้าวเจ้านิดหน่อยเอาไว้รับแขก ที่เหลือก็แบ่งปันญาติพี่น้อง มีผลไม้ตามริมขอบสระ เช่น มะม่วง มะพร้าว มะละกอ กล้วย อ้อย ขนุน น้อยหน่า ฯลฯ บำรุงบอกว่าลงมือจริงจังสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็เห็นผล มีกินทุกอย่าง เป็นอาหารที่ปลอดภัยปลอดสารพิษ ที่สำคัญมันคือความมั่นคงทางอาหาร ถึงแม้ไม่มีเงินเราก็อยู่ได้บ้านสวนของเขายังได้รับการยอมรับจากหน่วยงานราชการและหน่วยงานเอกชนให้เป็นพื้นที่ตัวอย่างเรื่องเกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ มีกลุ่มต่างๆ มาเยี่ยมชม ศึกษา ดูงานอย่างไม่ขาดสาย การดำนาด้วยต้นข้าวเพียงต้นเดียวเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ชุมชนกุดตาไก้ ได้ทดลองทำในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เพราะการได้ไปดูงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มอื่นๆ ทำให้ชุมชนแห่งนี้ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาการเกษตรของชุมชนไปได้อย่างต่อเนื่อง
การรวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็ง : ทวงสิทธิอันพึงมีพึงได้
บทเรียนของการรวมกลุ่มรวมตัวกันของชาวบ้านทำให้เกิดพลังในการเจรจาต่อรอง บำรุงเป็นแกนนำชาวบ้าน เขาได้ร่วมก่อตั้งสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน สกยอ. เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านที่ประสบปัญหา เรื่องราคาผลผลิตการเกษตร ปัญหาป่าไม้ทับที่ทำกินของชาวบ้าน ปัญหาที่ดิน ปัญหาหม่อนไหม ปัญหาวัวพลาสติก ปัญหามะม่วงหิมะพาน ปัญหาเขื่อน ปัญหาหมู ฯลฯ การเดินทัพนับหมื่นคนจากอีสานเข้าสู่เมืองหลวง เพื่อกดดันให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้าน เพื่อทวงสิทธิอันพึงมีพึงได้ ก่อให้เกิดการตื่นตัวของชาวบ้านในการเรียกร้องสิทธิของตนเองเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในหลายๆ เรื่อง
 การสร้างเครือข่ายปกป้องทวงสิทธิ : ความยากจนคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน
สิบกว่าปีที่ผ่านมา บำรุงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน ซึ่งมีเครือข่ายองค์กรชาวบ้าน 7 เครือข่าย คือ เครือข่ายปัญหาที่ดิน เครือข่ายปัญหาป่าไม้ทับที่ทำกิน เครือข่ายปัญหาเขื่อนและการจัดการน้ำ เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงาน เครือข่าเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายประมงพื้นบ้านภาคใต้ ซึ่งเป็นองค์กรประชาชนที่ผลักดันให้รัฐแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านในนามสมัชชาคนจน โดยปัญหาทั้งหมดเกิดจากการละเมิดสิทธิของรัฐในนามของการพัฒนา และนโยบายของรัฐที่ลำเอียง ไม่เห็นหัวคนจน รวมทั้งกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม บำรุงบอกว่าชาวบ้านต้องลุกขึ้นมารวมกลุ่มกันให้เข้มแข็ง ปกป้องสิทธิของตนเอง ทวงถามสิทธิของตนเอง เขามองว่าความยากจน คือ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ของประชาชนอย่างร้ายแรง
บทสรุป
บำรุง ย้ำในตอนท้ายว่า สิ่งสำคัญคือการขับเคลื่อนความคิดของคน ต้องทุ่มเทสรรพกำลังในการพูดคุย ประชุมแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านในชุมชน ให้ชาวบ้านในชุมชนตระหนักและเข้าใจว่าเขามีสิทธิที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง ของชุมชน ประเทศชาติ และของโลกเสียด้วยซ้ำไปต้องรวมตัวกันให้เข้มแข็ง สานเครือข่ายให้เป็นเอกภาพ กดดัน เจรจาต่อรอง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอันพึงมีพึงได้ เกษตรอินทรีย์ การต่อสู้ของเกษตรกรรายย่อย การต่อสู้ของสมัชชาคนจน เป็นเพียงรูปธรรมหนึ่งเท่านั้นเองที่ชุมชนกุดตาไก้ใช้เป็นบทเรียน เป็นตัวผลักดันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชุมชน ผลักดันให้รัฐต้องแก้ไขนโยบายและกฎหมายให้เกิดความเป็นธรรมต่อชาวบ้านและคนจน และนี่คือการลงมือในการปกป้องสิทธิของตนเอง การกำหนดสิทธิของชุมชนที่จะไม่ดำเนินตามเกษตรกระแสหลัก ของคนเล็กๆ คนหนึ่ง ของชุมชนเล็กๆ ชุมชนหนึ่ง ในถิ่นอีสานแดนไกล
หมายเหตุ : วันที่ 8-10 สิงหาคม 2551 ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับชุมชนกุดตาไก้ กิ่งอำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ จัดกระบวนการเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน ผ่านมุมมองของ คุณบำรุง คะโยธา นักสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน แกนนำชาวบ้าน และที่ปรึกษาสมัชชาคนจน ที่บ้านสวนคุณบำรุง คะโยธา จังหวัดกาฬสินธุ์
ประสิทธิพร กาฬอ่อนศรี
แหล่งที่มา : http://www.prachatai.com/05web/th/home/15617

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แอมเนสตี้ฯ ประณามคำตัดสินคดี ’อากง’

องค์กรสิทธิ ‘อาร์ติเคิล 19’-‘แอมเนสตี้ฯ’ ประณามคำตัดสินคดี ’อากง’


องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ ‘อาร์ติเคิล 19’ แถลงการณ์ประณามผลการตัดสินคดี ‘อากง’ เหยื่อคดีหมิ่นฯ รายล่าสุดที่ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี ร้องรัฐไทยต้องโมฆะตัดสินดังกล่าว พร้อมแก้ไขมาตรา 112-พ.ร.บ. คอมพ์ฯ ด้าน ‘แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล’ ชี้ ‘อากง’ เป็น ‘นักโทษการเมือง’
สืบเนื่องจากคดีนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) จำเลยในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ- พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ที่ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา (17 พ.ย. 54) เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือหมิ่นเบื้องสูงไปหาเลขานุการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจำนวน 4 ข้อความนั้น
องค์กรรณรงค์ระหว่างประเทศด้านสิทธิด้านเสรีภาพในการแสดงออก ‘อาร์ติเคิล 19’ (Article 19) และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรสิทธิมนุษยชนสากล ได้ออกแถลงการณ์ประณามคำตัดสินดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า คำตัดสินดังกล่าวเป็นที่น่าตกใจอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงการจงใจละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกอย่างชัดเจนของทางการไทย
“การตัดสินลงโทษดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพในการแสดงออกอย่างชัดแจ้ง” นายเบนจามิน ซาแวกกี นักวิจัยสากลของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลประจำประเทศไทยกล่าว “อำพลเป็นนักโทษการเมือง” เขาระบุ
นายเบนจามินยังชี้ว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 มีผลเหนือคำสั่งตามรัฐธรรมนูญของไทย และบทบัญญัติและการใช้ของกฎหมายดังกล่าว ยังขัดแย้งกับพันธกรณีของไทยที่ต้องมีต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองแห่งสหประชาชาติแล้วตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งมีพันธะผูกพันให้รัฐบาลไทยต้องคุ้มครองเสรีภาพทางความคิด และสิทธิของพลเมืองในการแสดงความเห็นและการแสดงออกโดยเท่าเทียมกัน
องค์กร ‘อาร์ติเคิล 19’ ยังได้เรียกร้องให้ไทยยกคำตัดสินในคดีนายอำพลเป็นโมฆะโดยทันที เนื่องจากมองว่า การใช้กฎหมายหมิ่นฯ เป็นการละเมิดสิทธิในการแสดงออกอย่างร้ายแรง และยังปรากฎถึงการใช้หลักฐานที่ยังขาดความน่าเชื่อถือในการเอาผิดนายอำพลอีกด้วย อาร์ติเคิล 19 ระบุในแถลงการณ์ว่า จะยังคงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และแก้ไขพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ให้สอดคล้องกับรัฐธรมนูญไทยและมาตรฐานกฎหมายสากลต่อไป
ด้านนายสมชาย หอมลออ กรรมการอิสระค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ให้ความเห็นว่า การตัดสินคดีนายอำพลแสดงให้เห็นถึงความไม่เอาจริงเอาจังของรัฐบาลในการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิ เช่นเดียวกับการดำเนินคดีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และชี้ว่า การใช้กฎหมายดังกล่าวในทางที่ผิด ยิ่งแต่จะทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายที่เห็นต่างในสังคมรุนแรงขึ้น และนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่สถาบันฯ มากกว่าเดิม


วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

ปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

การละเมิดสิทธิมนุษยชน
          
           สิทธิมนุษยชน หมายถึง สิทธิและเสรีภาพในความเป็นมนุษย์  โดยสิทธินี้จะติดตัวมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นสิทธิที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนมีเท่าเทียมกัน ซึ่งปัญหาที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน จะเกิดจากการละเมิดหรือจำกัดสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์
ปัญหาที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น
-ปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
       ข่าวสารจากชายแดนใต้กลายเป็นปฏิบัติการของฝ่ายความมั่นคงที่รุกเรื่องการใช้กำลัง และปิดล้อมตรวจค้นบ่อยครั้ง ตามด้วยความสูญเสียในลักษณะ "วิสามัญฆาตกรรม"   ทุกครั้งที่เกิดการวิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้นมักจะมีคำถามเสมอว่า สิ่งที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ทำเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และ ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่? โดย ตั้งแต่ต้นปี 2552 ได้มีข่าวที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่รุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่การเผยแพร่คลิปวิดีโอทหารซ้อมชาวบ้าน ตามด้วยองค์การนิรโทษกรรมสากลเปิดข้อมูลเจ้าหน้าที่ไทยซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยกว่า 30 รายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถัดมาไม่กี่วันก็เกิดกรณีทหารวิสามัญฆาตกรรมชายมือพิการเสียชีวิต นี่คงเป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงจะต้องตอบคำถามกับชาวบ้านให้ได้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสมควรกับเหตุการณ์
-การใช้ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัว
    เรื่องนี้หลายคนอาจะมองเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องส่วนบุคคล ไม่น่าจที่จะเป็นปัญหาระดับชาติได้แต่ในความเป็นจริงมิได้เป็นปัญหาเฉพาะบุคคลที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในปัจจุบันที่พบว่า เด็กที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวอย่างเหมาะสม เช่น เด็กที่พ่อ แม่ ต้องออกไปหารายได้เลี้ยงครอบครัวถูกทิ้งให้อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย เพียงลำพังมีแนวโน้มจะเข้าสู่ปัญหาการกระทำความรุนแรงต่อผู้อื่นเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากปัจจัยทางด้านครอบครัว โดยเฉพาะการกระทำความรุนแรงภายในครอบครัว เช่น พ่อแม่ลงโทษลูกของตนอย่างหนัก ทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่งผลต่อความมั่นคงของมนุษย์
          ตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย  ซึ่งหลายครั้งที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้กระทำเอง ดังนั้นรัฐจึงควรเอาจริงเอาจัง ในการแก้ปัญหา กล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา และส่งเสริมให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

นักต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ นักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม


วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ หรือ มด เกิดในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนที่บางรัก เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 มีชื่อเป็นภาษาจีนว่า อางี้ เริ่มทำกิจกรรมเข้าร่วมการเรียกร้องประชาธิปไตย และเคลื่อนไหวเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม
ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา วนิดาเป็นแรงหนุนและเป็นเบื้องหลังคนสำคัญ ในการเรียกร้องต่อสู้ของคนงานโรงงานฮาร่า ที่ใช้เวลาชุมนุมถึง 5 เดือน จนในที่สุดขบวนการต่อสู้นั้น พัฒนาจนถึงขั้นคนงานโรงงานฮาร่าสามารถยึดโรงงานแล้วผลิตสินค้าออกมาขายได้เอง
ระหว่างเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทำให้ต้องหลบไปอยู่ในเขตป่าแถวภาคใต้ประมาณ 4 ปี และไปอยู่ป่าภาคอีสานอีก 2-3 เดือน หลังจากนั้นจึงกลับมาเรียนต่อที่ธรรมศาสตร์อีกครั้งในปี 2524 เรียนอยู่ 3 ปี จึงสำเร็จการศึกษา
วนิดาเริ่มเข้ามาทำงานด้านองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ด้วยการร่วมรณรงค์กับขบวนการสันติภาพต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ เข้าร่วมขบวนการเชื่อมสันติภาพไทยลาว เริ่มทำงานในภาคประชาชนอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี 2532-2533 กับโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ
งานชิ้นแรกๆ ที่ทำคือ ทำงานเชิงวิชาการในการคัดค้านการสร้างเขื่อนแก่งกรุง เขื่อนแก่งเสือเต้น จนมาถึงเขื่อนปากมูล และมีบทบาทในการก่อตั้งสมัชชาคนจนร่วมกับองค์กรชาวบ้านทั่วประเทศ ล่าสุดเป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน
วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมตั้งแต่ปี 2547 ก่อนจะจากโลกนี้ไป เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ด้วยอายุ 52 ปี

...​ปณิธานหิ่งห้อย
ฉันคือหิ่งห้อย
ฉันจะเรืองแสงในยามที่ทุกสิ่งมืดมิด
ฉันจะบินว่อนฉวัดเฉวียน
เฝ้ามองความเป็นไปของสรรพสิ่งอย่างเงียบสงบ
ฉันจะมีอุเบกขา ต่อทุกสิ่งที่พบเห็น
จะไม่ยินดีหรือยินร้าย ต่อทุกข์โศกหรือรื่นรมย์
ฉันภาวนาให้ผู้คนที่ทนทุกข์และตัวฉัน
ได้หลุดพ้นจากโซ่ตรวนของกิเลสและเคราะห์กรรม
ฉันภาวนาให้พ่อแม่พี่น้องของฉัน หลานของฉัน
เป็นเช่นหิ่งห้อย เรืองแสงร่วมกันบนหนทางธรรม
ฉันจะร่วมกับหิ่งห้อยนับล้านล้าน
ทอแสงสร้างขวัญขึ้นแทนหมู่ดาว
คราเมื่อพระอาทิตย์ส่องแสงพราว
หิ่งห้อยน้อยค่อยจากลา
วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์
ศูนย์ฝึกวิปัสสนากรรมฐานโกเอ็นก้า
๒๐ กันยายน ๒๕๔๖
 
องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องเลขาธิการองค์การสหประชาชาติตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานข้ามชาติพม่าที่ถูกผลักดันออกจากประเทศไทยโดยด่วนที่สุด
วันนี้ (26 ต.ค. 53) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เดินทางมาเยือนประเทศไทย และจะมีการหารือประเด็นเเรงงานข้ามชาติ กับเจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติ เเละเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ได้เรียกร้อง และแถลงการณ์เรื่อง"เลขาธิการองค์การสหประชาชาติควรสั่งการให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่อแรงงานข้ามชาติพม่าที่ถูกผลักดันออกจากประเทศไทยโดยด่วนที่สุด"
ทางด้านสมาพันธ์แรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ได้เรียกร้อง ให้เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ มอบหมายให้หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง  ตรวจสอบกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างร้ายเเรงต่อแรงงานข้ามชาติจากพม่าที่ถูกผลักดันออกนอกประเทศไทย เเละขอให้เลขาธิการองค์การสหประชาชาติกระตุ้นรัฐบาลไทยให้ เคารพสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ เเละให้รัฐบาลเชิญผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติมาเยือนประเทศไทยเพื่อให้ข้อเสนอเเนะแก่ รัฐบาลไทยในการพัฒนานโยบาย เกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติบนพื้นฐานของการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สรส. คสรท. เเละ มสพ. ยังขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยตรวจสอบกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการกวาดล้าง แรงงานข้ามชาติโดยเร่งด่วน ตลอดจนดำเนินการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดกฎหมาย เเละขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาทบทวนนโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติ ให้อยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ
ทั้งนี้ สื่อมวลชนต่างประเทศได้รายงานข่าวการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเป็นผลจากนโยบายกวาดล้าง เเละผลักดันแรงงานข้ามชาติ ที่ไม่แสดงความประสงค์ที่จะพิสูจน์สัญชาติ หรือแรงงานข้ามชาติที่หลบหนีเข้าเมืองอย่างต่อเนื่อง สำนักข่าว อัล จาซีรา (Al Jazeera) รายงานว่าแรงงานที่ถูกจับกุมเเละผลักดันออกนอกประเทศไทยถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไทยบางรายนำไปยังพื้นที่กักกันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังทหารกะเหรี่ยงพุทธ ตรงข้ามแม่น้ำเมยฝั่งไทย ที่อ.แม่สอด จ.ตาก
ล่าสุดหนังสือพิมพ์เซาท์ ไชนา มอร์นิงโพสท์ (South China Morning Post) เสนอข่าวแรงงานข้ามชาติพม่าที่ถูกจับโดยเจ้าหน้าที่ไทยบางรายถูกผลักดันออกนอกประเทศไทยทางเรือ ที่น่านน้ำระหว่างจ.ระนอง เเละเกาะสอง ประเทศพม่า  และถูก "ขาย" ให้นายหน้าค้ามนุษย์ ก่อนจะถูกลักลอบนำพากลับประเทศไทยอีกครั้ง องค์กรด้านสิทธิแรงงาน องค์กรสิทธิมนุษยชน ทั้งในประเทศเเละนานาชาติ ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ตั้งเเต่เดือน กรกฏาคม 2553 ซึ่งรัฐบาลไทยยังมิได้มีการดำเนินการใดๆ อย่างชัดเจน 
จากสถานการณ์ดังกล่าวที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง และเนื่องจากเลขาธิการองค์การสหประชาชาติเดินทางมาเยือนประเทศไทย สรส.  คสรท. และ มสพ. ใคร่ขอเสนอข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย ดังต่อไปนี้
1. รัฐบาลควรเชิญผู้รายงานพิเศษเเห่งองค์การสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนของผู้อพยพ ผู้รายงานพิเศษเเห่งองค์การสหประชาชาติด้าน การต่อต้านการค้ามนุษย์ ผู้รายงานพิเศษเเห่งองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน ให้เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อให้คำ เเนะนำต่อปัญหาที่เกิดขึ้นเเละช่วยให้ข้อเสนอเเนะในการปรับปรุงนโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติ เพื่อให้เคารพสิทธิมนุษยชนของ แรงงานข้ามชาติมากขึ้นเเละบรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดหาแรงงานข้ามชาติสู่ตลาดเเรงงานไปพร้อมกัน
2. รัฐบาลควรระงับการผลักดันเเละจับกุมแรงงานข้ามชาติเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ทันทีจนกว่าจะมีการตรวจสอบกรณี การละเมิดสิทธิดังกล่าวอย่างรอบคอบ เพื่อยุติการค้ามนุษย์ การแสวงประโยชน์โดยมิชอบ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ ต่อแรงงานข้ามชาติที่ถูกจับเเละผลักดันออกนอกประเทศ ทั้งนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมดังกล่าว ต้องถูกดำเนินคดีเเละลงโทษโดยผ่าน กระบวน การที่โปร่งใส เเละผู้เสียหายต้องได้รับการช่วยเหลือ เยียวยา อย่างเป็นธรรม
3. เมื่อรัฐบาลประกาศว่าจะมีนโยบายเปิดจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติครั้งใหม่เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือ ดังนั้น การยกเลิกการ กวาดล้างจะสร้างแรงจูงใจเเก่นายจ้างเเละเเรงงานข้ามชาติให้กล้าแสดงตัวเพื่อเข้าจดทะเบียนตามกฎหมาย
4. รัฐบาลควรดำเนินการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติรอบใหม่โดยเร็ว ด้วยวิธีการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เพื่อปรับสถานะแรงงาน ข้ามชาติเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นแรงงานที่สามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย โดยยึดหลักนิติธรรมในการบริหารจัดการเเรงงานข้ามชาติ เเละหลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ ตลอดจนถึงผู้ติดตามเเละครอบครัว
5. รัฐบาลไทยควรทบทวนนโยบายการจัดการนำเข้าแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ประเทศไทย โดยคำนึงถึงสิทธิ มนุษยชนพื้นฐานที่แรงงานข้ามชาติพึงได้รับ เเละป้องกันการเเสวงประโยชน์โดยมิชอบจากแรงงานข้ามชาติ ทั้งด้านเศรษฐกิจเเละด้านอื่นๆ
6. นโยบายบริหารแรงงานข้ามชาติของรัฐบาลที่ไม่ชัดเจนเท่าที่ควรเเละไม่สามารถควบคุมการอพยพได้จริง ไม่สามารถดำเนินการตามหลัก นิติธรรม เกิดการทุจริต การละเมิดต่อกฎหมายอย่างเป็นระบบ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานข้ามชาติ ดังนั้น รัฐบาลควร ให้ความสำคัญกับการกำหนดนโยบายระยะยาว ให้มีหน่วยงานเฉพาะเพียงหน่วยงานเดียวทำหน้าที่บริหารการอพยพย้ายถิ่น โดยเปิดโอกาส ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวเเรงงานข้ามชาติเอง นายจ้าง และภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
สรส. คสรท. และ มสพ. เชื่อว่าข้อเสนอแนะข้างต้นจะช่วยให้รัฐบาลไทยสามารถจัดการกับความท้าทายด้านการย้ายถิ่นอย่างผิดปกตินี้ได้ โดยการเคารพสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ ควบคู่กับการรักษาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ในทางตรงกัน ข้าม นโยบายการกวาดล้างแรงงานข้ามชาติที่กำลังจะดำเนินอยู่ในขณะนี้กลับจะส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งยังคงต้องพึ่งพา แรงงานข้ามชาติอย่างมาก รวมทั้งส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย ในช่วงที่ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นประธาน คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ  ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การบริหารแรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ แรงงานข้ามชาติต้องตกเป็นเหยื่อของการแสวงประโยชน์อย่างกว้างขวางและรุนแรง เนื่องจากถูกบังคับให้เป็นแรงงานใต้ดิน ซึ่งเอื้อต่อการทุจริต และจะยิ่งทำลายความมั่นคงของประเทศในระยะยาว.