ปฏิทิน 2555

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

ปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

การละเมิดสิทธิมนุษยชน
          
           สิทธิมนุษยชน หมายถึง สิทธิและเสรีภาพในความเป็นมนุษย์  โดยสิทธินี้จะติดตัวมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นสิทธิที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนมีเท่าเทียมกัน ซึ่งปัญหาที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน จะเกิดจากการละเมิดหรือจำกัดสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์
ปัญหาที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น
-ปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
       ข่าวสารจากชายแดนใต้กลายเป็นปฏิบัติการของฝ่ายความมั่นคงที่รุกเรื่องการใช้กำลัง และปิดล้อมตรวจค้นบ่อยครั้ง ตามด้วยความสูญเสียในลักษณะ "วิสามัญฆาตกรรม"   ทุกครั้งที่เกิดการวิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้นมักจะมีคำถามเสมอว่า สิ่งที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ทำเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และ ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่? โดย ตั้งแต่ต้นปี 2552 ได้มีข่าวที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่รุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่การเผยแพร่คลิปวิดีโอทหารซ้อมชาวบ้าน ตามด้วยองค์การนิรโทษกรรมสากลเปิดข้อมูลเจ้าหน้าที่ไทยซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยกว่า 30 รายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถัดมาไม่กี่วันก็เกิดกรณีทหารวิสามัญฆาตกรรมชายมือพิการเสียชีวิต นี่คงเป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงจะต้องตอบคำถามกับชาวบ้านให้ได้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสมควรกับเหตุการณ์
-การใช้ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และครอบครัว
    เรื่องนี้หลายคนอาจะมองเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องส่วนบุคคล ไม่น่าจที่จะเป็นปัญหาระดับชาติได้แต่ในความเป็นจริงมิได้เป็นปัญหาเฉพาะบุคคลที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในปัจจุบันที่พบว่า เด็กที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวอย่างเหมาะสม เช่น เด็กที่พ่อ แม่ ต้องออกไปหารายได้เลี้ยงครอบครัวถูกทิ้งให้อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย เพียงลำพังมีแนวโน้มจะเข้าสู่ปัญหาการกระทำความรุนแรงต่อผู้อื่นเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากปัจจัยทางด้านครอบครัว โดยเฉพาะการกระทำความรุนแรงภายในครอบครัว เช่น พ่อแม่ลงโทษลูกของตนอย่างหนัก ทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่งผลต่อความมั่นคงของมนุษย์
          ตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย  ซึ่งหลายครั้งที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้กระทำเอง ดังนั้นรัฐจึงควรเอาจริงเอาจัง ในการแก้ปัญหา กล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา และส่งเสริมให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

นักต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ นักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม


วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ หรือ มด เกิดในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนที่บางรัก เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 มีชื่อเป็นภาษาจีนว่า อางี้ เริ่มทำกิจกรรมเข้าร่วมการเรียกร้องประชาธิปไตย และเคลื่อนไหวเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม
ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา วนิดาเป็นแรงหนุนและเป็นเบื้องหลังคนสำคัญ ในการเรียกร้องต่อสู้ของคนงานโรงงานฮาร่า ที่ใช้เวลาชุมนุมถึง 5 เดือน จนในที่สุดขบวนการต่อสู้นั้น พัฒนาจนถึงขั้นคนงานโรงงานฮาร่าสามารถยึดโรงงานแล้วผลิตสินค้าออกมาขายได้เอง
ระหว่างเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทำให้ต้องหลบไปอยู่ในเขตป่าแถวภาคใต้ประมาณ 4 ปี และไปอยู่ป่าภาคอีสานอีก 2-3 เดือน หลังจากนั้นจึงกลับมาเรียนต่อที่ธรรมศาสตร์อีกครั้งในปี 2524 เรียนอยู่ 3 ปี จึงสำเร็จการศึกษา
วนิดาเริ่มเข้ามาทำงานด้านองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ด้วยการร่วมรณรงค์กับขบวนการสันติภาพต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ เข้าร่วมขบวนการเชื่อมสันติภาพไทยลาว เริ่มทำงานในภาคประชาชนอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี 2532-2533 กับโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ
งานชิ้นแรกๆ ที่ทำคือ ทำงานเชิงวิชาการในการคัดค้านการสร้างเขื่อนแก่งกรุง เขื่อนแก่งเสือเต้น จนมาถึงเขื่อนปากมูล และมีบทบาทในการก่อตั้งสมัชชาคนจนร่วมกับองค์กรชาวบ้านทั่วประเทศ ล่าสุดเป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน
วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมตั้งแต่ปี 2547 ก่อนจะจากโลกนี้ไป เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ด้วยอายุ 52 ปี

...​ปณิธานหิ่งห้อย
ฉันคือหิ่งห้อย
ฉันจะเรืองแสงในยามที่ทุกสิ่งมืดมิด
ฉันจะบินว่อนฉวัดเฉวียน
เฝ้ามองความเป็นไปของสรรพสิ่งอย่างเงียบสงบ
ฉันจะมีอุเบกขา ต่อทุกสิ่งที่พบเห็น
จะไม่ยินดีหรือยินร้าย ต่อทุกข์โศกหรือรื่นรมย์
ฉันภาวนาให้ผู้คนที่ทนทุกข์และตัวฉัน
ได้หลุดพ้นจากโซ่ตรวนของกิเลสและเคราะห์กรรม
ฉันภาวนาให้พ่อแม่พี่น้องของฉัน หลานของฉัน
เป็นเช่นหิ่งห้อย เรืองแสงร่วมกันบนหนทางธรรม
ฉันจะร่วมกับหิ่งห้อยนับล้านล้าน
ทอแสงสร้างขวัญขึ้นแทนหมู่ดาว
คราเมื่อพระอาทิตย์ส่องแสงพราว
หิ่งห้อยน้อยค่อยจากลา
วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์
ศูนย์ฝึกวิปัสสนากรรมฐานโกเอ็นก้า
๒๐ กันยายน ๒๕๔๖
 
องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องเลขาธิการองค์การสหประชาชาติตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานข้ามชาติพม่าที่ถูกผลักดันออกจากประเทศไทยโดยด่วนที่สุด
วันนี้ (26 ต.ค. 53) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เดินทางมาเยือนประเทศไทย และจะมีการหารือประเด็นเเรงงานข้ามชาติ กับเจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติ เเละเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ได้เรียกร้อง และแถลงการณ์เรื่อง"เลขาธิการองค์การสหประชาชาติควรสั่งการให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่อแรงงานข้ามชาติพม่าที่ถูกผลักดันออกจากประเทศไทยโดยด่วนที่สุด"
ทางด้านสมาพันธ์แรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ได้เรียกร้อง ให้เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ มอบหมายให้หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง  ตรวจสอบกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างร้ายเเรงต่อแรงงานข้ามชาติจากพม่าที่ถูกผลักดันออกนอกประเทศไทย เเละขอให้เลขาธิการองค์การสหประชาชาติกระตุ้นรัฐบาลไทยให้ เคารพสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ เเละให้รัฐบาลเชิญผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติมาเยือนประเทศไทยเพื่อให้ข้อเสนอเเนะแก่ รัฐบาลไทยในการพัฒนานโยบาย เกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติบนพื้นฐานของการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สรส. คสรท. เเละ มสพ. ยังขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยตรวจสอบกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการกวาดล้าง แรงงานข้ามชาติโดยเร่งด่วน ตลอดจนดำเนินการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดกฎหมาย เเละขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาทบทวนนโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติ ให้อยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ
ทั้งนี้ สื่อมวลชนต่างประเทศได้รายงานข่าวการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเป็นผลจากนโยบายกวาดล้าง เเละผลักดันแรงงานข้ามชาติ ที่ไม่แสดงความประสงค์ที่จะพิสูจน์สัญชาติ หรือแรงงานข้ามชาติที่หลบหนีเข้าเมืองอย่างต่อเนื่อง สำนักข่าว อัล จาซีรา (Al Jazeera) รายงานว่าแรงงานที่ถูกจับกุมเเละผลักดันออกนอกประเทศไทยถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไทยบางรายนำไปยังพื้นที่กักกันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังทหารกะเหรี่ยงพุทธ ตรงข้ามแม่น้ำเมยฝั่งไทย ที่อ.แม่สอด จ.ตาก
ล่าสุดหนังสือพิมพ์เซาท์ ไชนา มอร์นิงโพสท์ (South China Morning Post) เสนอข่าวแรงงานข้ามชาติพม่าที่ถูกจับโดยเจ้าหน้าที่ไทยบางรายถูกผลักดันออกนอกประเทศไทยทางเรือ ที่น่านน้ำระหว่างจ.ระนอง เเละเกาะสอง ประเทศพม่า  และถูก "ขาย" ให้นายหน้าค้ามนุษย์ ก่อนจะถูกลักลอบนำพากลับประเทศไทยอีกครั้ง องค์กรด้านสิทธิแรงงาน องค์กรสิทธิมนุษยชน ทั้งในประเทศเเละนานาชาติ ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ตั้งเเต่เดือน กรกฏาคม 2553 ซึ่งรัฐบาลไทยยังมิได้มีการดำเนินการใดๆ อย่างชัดเจน 
จากสถานการณ์ดังกล่าวที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง และเนื่องจากเลขาธิการองค์การสหประชาชาติเดินทางมาเยือนประเทศไทย สรส.  คสรท. และ มสพ. ใคร่ขอเสนอข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย ดังต่อไปนี้
1. รัฐบาลควรเชิญผู้รายงานพิเศษเเห่งองค์การสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนของผู้อพยพ ผู้รายงานพิเศษเเห่งองค์การสหประชาชาติด้าน การต่อต้านการค้ามนุษย์ ผู้รายงานพิเศษเเห่งองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน ให้เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อให้คำ เเนะนำต่อปัญหาที่เกิดขึ้นเเละช่วยให้ข้อเสนอเเนะในการปรับปรุงนโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติ เพื่อให้เคารพสิทธิมนุษยชนของ แรงงานข้ามชาติมากขึ้นเเละบรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดหาแรงงานข้ามชาติสู่ตลาดเเรงงานไปพร้อมกัน
2. รัฐบาลควรระงับการผลักดันเเละจับกุมแรงงานข้ามชาติเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ทันทีจนกว่าจะมีการตรวจสอบกรณี การละเมิดสิทธิดังกล่าวอย่างรอบคอบ เพื่อยุติการค้ามนุษย์ การแสวงประโยชน์โดยมิชอบ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ ต่อแรงงานข้ามชาติที่ถูกจับเเละผลักดันออกนอกประเทศ ทั้งนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมดังกล่าว ต้องถูกดำเนินคดีเเละลงโทษโดยผ่าน กระบวน การที่โปร่งใส เเละผู้เสียหายต้องได้รับการช่วยเหลือ เยียวยา อย่างเป็นธรรม
3. เมื่อรัฐบาลประกาศว่าจะมีนโยบายเปิดจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติครั้งใหม่เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือ ดังนั้น การยกเลิกการ กวาดล้างจะสร้างแรงจูงใจเเก่นายจ้างเเละเเรงงานข้ามชาติให้กล้าแสดงตัวเพื่อเข้าจดทะเบียนตามกฎหมาย
4. รัฐบาลควรดำเนินการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติรอบใหม่โดยเร็ว ด้วยวิธีการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เพื่อปรับสถานะแรงงาน ข้ามชาติเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นแรงงานที่สามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย โดยยึดหลักนิติธรรมในการบริหารจัดการเเรงงานข้ามชาติ เเละหลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ ตลอดจนถึงผู้ติดตามเเละครอบครัว
5. รัฐบาลไทยควรทบทวนนโยบายการจัดการนำเข้าแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ประเทศไทย โดยคำนึงถึงสิทธิ มนุษยชนพื้นฐานที่แรงงานข้ามชาติพึงได้รับ เเละป้องกันการเเสวงประโยชน์โดยมิชอบจากแรงงานข้ามชาติ ทั้งด้านเศรษฐกิจเเละด้านอื่นๆ
6. นโยบายบริหารแรงงานข้ามชาติของรัฐบาลที่ไม่ชัดเจนเท่าที่ควรเเละไม่สามารถควบคุมการอพยพได้จริง ไม่สามารถดำเนินการตามหลัก นิติธรรม เกิดการทุจริต การละเมิดต่อกฎหมายอย่างเป็นระบบ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานข้ามชาติ ดังนั้น รัฐบาลควร ให้ความสำคัญกับการกำหนดนโยบายระยะยาว ให้มีหน่วยงานเฉพาะเพียงหน่วยงานเดียวทำหน้าที่บริหารการอพยพย้ายถิ่น โดยเปิดโอกาส ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวเเรงงานข้ามชาติเอง นายจ้าง และภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
สรส. คสรท. และ มสพ. เชื่อว่าข้อเสนอแนะข้างต้นจะช่วยให้รัฐบาลไทยสามารถจัดการกับความท้าทายด้านการย้ายถิ่นอย่างผิดปกตินี้ได้ โดยการเคารพสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ ควบคู่กับการรักษาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ในทางตรงกัน ข้าม นโยบายการกวาดล้างแรงงานข้ามชาติที่กำลังจะดำเนินอยู่ในขณะนี้กลับจะส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งยังคงต้องพึ่งพา แรงงานข้ามชาติอย่างมาก รวมทั้งส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย ในช่วงที่ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นประธาน คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ  ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การบริหารแรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ แรงงานข้ามชาติต้องตกเป็นเหยื่อของการแสวงประโยชน์อย่างกว้างขวางและรุนแรง เนื่องจากถูกบังคับให้เป็นแรงงานใต้ดิน ซึ่งเอื้อต่อการทุจริต และจะยิ่งทำลายความมั่นคงของประเทศในระยะยาว.